วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

KEEP WALKING‏

ไม่กล้า ก็ไม่มีวันเดินหน้า
Nothing ventured, nothing gained.
วิลเลี่ยม เช็คสเปียร์

เพียงเมื่อท่านหยุดก้าว ท่านก็เริ่มถอยหลังแล้ว
When you stop advancing, you've already begun to retreat.
ดร.เทียม โชควัฒนา

คนเราไม่มีใครล้มเหลว มีแต่ล้มเลิกต่างหาก
There are no failures, only people who have given up.
นิรนาม

ผมยอมไม่ได้ ถ้าไม่ยอมพยายาม
I can't accept not trying.
เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง

ผมเป็นคนเดินช้า แต่ผมไม่เคยเดินถอยหลัง
I am a slow walker, but I never walk backwards.
อับราฮัม ลินคอล์น

โลกทั้งโลกเปิดทางให้กับคนที่รู้ว่าตัวเองจะเดินไปทางไหน
The whole world steps aside for the man who knows where he is going.
นิรนาม

หนทางไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรก
A joumey of a thousand miles must begin with a single step.
เล่าจื๊อ

อย่ากลัวที่จะก้าวไปช้า ๆ จงกลัวที่จะอยู่นิ่งเฉย
Do not be afraid of going slowly, be afraid only of standing still.
ภาษิตจีน

ถ้าไม่หาทาง ก็ต้องสร้างมันขึ้นมา
We will either find a way or make one.
ฮานิบาล

อย่าคิดว่าคุณจะเดิน เดินไปเลย
Don't just think you'll walk, WALK.
ปรเมศวร์ มินศิริ

คนเราแก้อดีตไม่ได้ แต่อาจเปลี่ยนอนาคตได้
We can't correct the past, But we might change the future.
วรินทร์ เลียววาริณ

การเริ่มต้นเป็นเรื่องยาก แต่การก้าวต่อไปเป็นเรื่องยากกว่า
Getting started is hard, but the next step is harder.
ถกลเกียรติ วีรวรรณ

คำว่า ดีที่สุด มีไว้สำหรับงานต่อไปเสมอ
The word 'Best' is always there for the next start.
ดวงฤทธิ์ บุนนาค

อย่ากลัวล้มทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มเดิน
Don't think that you're gonna lose when you don't even start
ณัฐจิระ ฮอนดา

ความผิดพลาดในอดีต คือบทเรียนสำหรับในอตาคต
The falling of yesterday are the learning of tommorrow.
โรเบอร์โต บักจิโอ

แม้แต่ปลา ต้องว่ายทวนน้ำเพื่ออยู่รอด
Fish swim against the tide to survive.
นักปราชญ์

ถ้าไม่ใช่คุณแล้วใคร ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวนี้แล้วเมื่อไหร่
If not you who? If not now when?
แกรี่ เฮอร์เบิร์ท

ทางเดียวที่จะถึงเส้นชัย คือก้าวต่อไปข้างหน้า
The only way to reach the goal is moving forward.
นักกีฬาสมัครเล่น

คว้าทุกโอกาสให้ได้
Seize the day.
โฮเรซ

ผมไปได้ทุกที่ ขอเพียงแต่ต้องไปข้างหน้า
I'll go anywhere as long as it's forward.
ดร.ลิฟวิ่งสโตน

อย่ากลัวที่จะก้าวยาว ๆ เมื่อต้องข้ามอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่
Don't be afraid to take a big step…you can't cross a chasm in two small jumps.
เดวิด ลอยด์ จอร์จ

ความใฝ่ฝัน ไม่เคยหยุดยั้ง
Ambition never comes to an end.
โยชิดะ เคนโกะ

ความเสี่ยงที่สุด คือการไม่กล้าเสี่ยงเลย
The biggest risk is not to take the risk at all.
ราอูล กราเซีย บราโว

จับจ้องที่จุดหมาย ไม่ใช่ที่อุปสรรค
One should keep one's eyes on one's destination, not on where one stumbled.
สุภาษิตไนจีเรีย

ความล้มเหลวที่สุด คือการไม่กล้าแม้แต่จะลองทำ
เซอเรน คีร์เคอกอร์

ถ้าเดินตามรอยเท้าคนอื่น ก็ไม่มีรอยเท้าเป็นของตนเอง
To dare is to lose one's footing momentarily. Not to dare is to lose oneself.
มูลเรลสตรอด

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

10 บุคคลตัวอย่าง
























เหตุการณ์บังเอิญที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต

ผมกำลังเดินอยู่บนถนนท่ามกลางแสงไฟสลัวในช่วงโพล้เพล้ของวันหนึ่ง
พลันได้ยินเสียงร้องอู้อี้เหมือนถูก ผ้าอุดปากดังออกมาจากหลังพงไม้

อารามตกใจ ผม ชะลอฝีเท้าเพื่อฟัง และรู้สึกตื่นตระหนก เมื่อรู้ว่าเสียงที่ผมได้ยินคือเสียงการต่อสู้กันอย่างแน่นอน มีทั้งเสียงตะคอก และเสียงเสื้อผ้าฉีกขาด

มีหญิงกำลังถูกทำร้าย ห่างจากจุดที่ผมยืนไม่กี่เมตร
ผมควรเข้าไปยุ่งดีหรือเปล่า ผมรู้สึกหวั่นกับสวัสดิภาพของตัวเอง
และนึกตำหนิตัวเองที่ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางกลับบ้านใหม่กะทันหัน


ผมควรจะเข้าไปช่วยหรือแค่วิ่งไปยังโทรศัพท์เครื่องที่ใกล้ที่สุด
เพื่อโทรแจ้งตำรวจ


.......เสียงร้องของเด็กผู้หญิงเริ่มเบาลง
ผมรู้ทันทีว่าจะต้องรีบทำอะไรสักอย่าง

ผมจะเดินหนีเหตุการณ์นี้ไปได้อย่างไร
เอาล่ะ
...ผมตัดสินใจได้แล้ว ผมไม่อาจหันหลังให้กับชะตาของผู้หญิงที่ไม่รู้จักคนนี้ได้
แม้มันหมายถึง การเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง
ผมไม่ใช่คนกล้า และไม่ใช่นักกีฬา

ผมไม่รู้ว่าความกล้าและพละกำลังในตัวนั้นมาจากไหน
แต่ทันทีที่ตัดสินใจช่วยเธอ ผมดูเหมือนจะเปลี่ยนไป

ผมวิ่งไปหลังพุ่มไม ้และดึงเจ้าวายร้ายออกมาจากร่างของหญิงสาว เราต่อสู้กันจนกลิ้งไปกับพื้นทั้งคู่ และปล้ำสู้กันอยู่สักพักหนึ่ง
ในที่สุดเจ้าตัวร้ายก็ลุกขึ้นและวิ่งหนีไป

ผมหอบฮักๆ และพยายามตะเกียกตะกาย ไปหาเด็กผู้หญิง ซึ่งนอนหมอบ ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หลังต้นไม้ท่ามกลางความมืด
ผมแทบไม่เห็นตัวเธอเลย แต่มีความรู้สึกว่าเธอต้องกำลังตกใจกลัวจนตัวสั่นอยู่แน่นอน
ด้วยไม่อยากจะให้เธอตกใจมากไปกว่านี้
ผมจึงพูดกับเธอในระยะไกลๆ 'ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว' ผมปลอบ

'มันวิ่งหนีไปแล้ว คุณปลอดภัยแล้วตอนนี้'

……..เธอเงียบไปสักพัก
แล้วผมก็ได้ยินเธอเปล่งเสียงออกมาด้วยความประหลาดใจ
'พ่อคะ นั่นพ่อเหรอคะ'
แล้วผู้ที่ก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ก็คือ แคเธอรีน ลูกสาวคนเล็กของผมเอง ...

จะเกิดอะไรขึ้น หากชายผู้นี้ลังเลที่จะไม่ช่วยเด็กหญิงที่กำลังถูกทำร้าย ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ก็คือลูกของตัวเอง ???

(จากหนังสือที่รวบรวมเหตุการณ์บังเอิญที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต
และติดอันดับ best seller ในสหรัฐฯ)

** ต่อไปคุณคงจะไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือคนแน่นอน

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตคุณยังคงมีค่าอยู่หรือเปล่า



นักพูดที่เป็นที่รู้จักกันดีท่านหนึ่ง
ได้เริ่มหยุดการสัมมนาของเขาโดยการ หยิบแบงค์ 20 ดอลลาร์ขึ้นมา

ในห้องมีผู้เข้าร่วมประชุม 200 ท่าน
แล้วเขาก็พูดว่า "ใครอยากได้แบงค์ 20 นี้บ้าง"

มือได้ถูกยกขึ้นเป็นจำนวนมาก และเขาก็พูดต่อว่า
"ฉันจะให้แบงค์ 20 นี้กับหนึ่งในพวกท่าน แต่ครั้งแรกนี้ฉันจะทำอย่างนี้"

เขาเริ่มที่จะขยำๆ เงินนั้นแล้วเขาก็ถามอีกว่า "ใครจะยังต้องการมันอีก"
ยังคงมีมือที่ยกขึ้นอีก "ดี" เขาตอบ

"แล้วถ้าฉันทำอย่างนี้ล่ะ" และเขาก็ทิ้งมันลงที่พื้น
และเริ่มเหยียบย่ำมันด้วยรองเท้าของเขา
แล้วเขาก็เก็บขึ้นมา ขณะนี้มันทั้งยับยู่ยี่และสกปรก
"ตอนนี้ ใครยังต้องการมันอีก" ก็ยังคงมีคนยกมืออีก

"เพื่อนๆ คุณได้เรียนรู้บทเรียนที่มีคุณค่ามากที่สุดบทหนึ่งแล้วว่า
ไม่ว่าฉันจะทำอะไรกับเงิน คุณก็ยังต้องการมันอยู่
เพราะว่ามันไม่ได้ลดคุณค่าในตัวมันลงเลย
มันก็ยังคงมีค่า 20 ดอลล์ อยู่นั่นเอง

เหมือนกับหลายๆ ครั้งในชีวิตของเรา
ที่ถูกทิ้ง, ถูกเหยียบย่ำ และถูกทำให้สกปรกโดยสิ่งที่เราตัดสินใจทำมัน
และสภาพแวดล้อมที่เราเจอ ทำให้เรารู้สึกว่าคุณค่าของเราลดน้อยลง
แต่ไม่ว่าอะไรที่ได้เกิดขึ้น หรืออะไรที่จะเกิดขึ้นคุณไม่เคยสูญเสียคุณค่าของคุณ
คุณเป็นคนพิเศษ -- อย่าลืมมันตลอดไป

"อย่านำความผิดหวังของเมื่อวานมาบดบังความฝันในวันพรุ่งนี้"

อยากรู้ไหม...มีอะไรในมือพ่อ



เริ่มจากการที่คุณพ่อเรียกลูกสาวเข้าไปพบ และบอกกับลูกสาวว่า


คุณพ่อ : "พ่อมีอะไรจะให้ดู เป็นของสำคุญมากนะ"

แล้วคุณพ่อก็หยิบอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อ โดยกำสิ่งของไว้ในมือ ไม่ให้ลูกมองเห็น และคุณพ่อก็ถามลูกสาวว่า

คุณพ่อ : "อยากรู้มั้ยว่ามีอะไรในมือพ่อ"

ลูกสาวพยักหน้า พ่อเลยยื่นข้อเสนอว่า


คุณพ่อ : งั้นเอามือเขกพื้น 3 ที

พอลูกเขกเสร็จตามที่พ่อบอก คุณพ่อพูดอีกว่า


คุณพ่อ : "ไม่พอเปลี่ยนเป็น 5 ทีดีกว่า"

ลูกก็เขกพื้นอีก 5 ที พ่อก็พูดต่อว่า


คุณพ่อ : "เปลี่ยนเป็น 10 ทีดีกว่า"

ลูกก็เขกพื้นอีก 10 ที พอเขกเสร็จพ่อพูดอีกว่า


คุณพ่อ : "เพิ่มเป็น 15 ทีละกัน"

ด้วยความอยากรู้ ลูกสาวยอมเขกพื้นเพิ่มเป็น 15 ที พร้อมพูดกับพ่อว่า


ลูกสาว : "ลูกอยากรู้จริงๆว่าในมือพ่อมันคืออะไร"

พ่อเลยแบมือออก เผยให้เห็นเหรียญ 5 บาทธรรมดาเหรียญหนึ่ง

หลังจากนั้น คุณพ่อก็เอามือกำเหรียญ 5 บาทเหรียญเดิมอีกครั้ง

และถามลูกสาวว่า อยากดูไหมว่าในมือพ่อมีอะไร ถ้าอยากรู้ต้องเอามือเขกพื้น 5 ที ลูกสาวส่ายหน้า พร้อมกับบอกว่า


ลูกสาว : ไม่อยากดูแล้ว เพราะรู้แล้วว่าในมือพ่อมีอะไร

พ่อเลยต่อรอง


คุณพ่อ : "เขกแค่ 1 ทีก็ได้"

ลูกสาวยังส่ายหน้า พร้อมกับบอกว่า


ลูกสาว : "หนูรู้แล้ว หนูไม่อยากดูแล้ว"

คุณพ่อเลยบอกว่า


คุณพ่อ : "เอางี้ พ่อให้ดูฟรีๆก็ได้ เอาหรือเปล่า"

ฝ่ายลูกสาวตอบว่า


ลูกสาว : "ไม่เอา ไม่รู้จะดูไปทำมัย ก็รู้อยู่แล้วว่าในมือพ่อมีอะไร"

ได้ฟังเช่นนั้น คุณพ่อเลยสอนลูกสาวว่า เหรียญ 5 ก็เปรียบเสมือนกับสิ่งอันพึงหวงแหนของของหญิงสาว

ถ้าใครได้รู้ได้เห็นก่อนเวลาอันควร ก็จะกลายเป็นของไร้ค่าในทันใด

คุณพ่อ : นี่แหละลูก ของอะไรที่ยังคงเป็นความลับ คนมักยอมทำตามทุกอย่างที่จะได้สมความปราถนา

มีความอยากดู อยากรู้ อยากเห็น แต่เมื่อสมปราถนาแล้ว ดูบ่อยๆก็มักจะเบื่อ ให้ดูฟรีๆยังไม่อยากดูเลย

เช่นกันสิ่งที่พึงหวงสำหรับสตรี ก็เป็นสิ่งที่มีค่า ถ้าใครได้รู้ก่อนเวลาอันควร ก็จะไม่มีค่าอะไรอีกต่อไป ไม่ต่างจากเหรียญ 5 บาท ที่พ่อให้ลูกดูฟรีหรอก


แล้วเหรียญ 5 บาทของคุณยังคงมีค่าอยู่หรือไม่

นิทานดีดีเรื่อง แว่นตาสีเขียว



ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนเจ้าอารมณ์และมักจะปวดศีรษะอยู่เป็นประจำ

วันหนึ่งเขาได้ประกาศว่าจะให้รางวัลอย่างงามแก่คนที่สามารถรักษาอาการปวดศีรษะของเขาได้มีหลายๆ


คนรวมทั้งหมอที่เชี่ยวชาญต่างก็มาและเสนอแนะวิธีรักษาโรคปวดศีรษะของเศรษฐีผู้นี้
แต่ไม่มีใคร สามารถทำให้เขาดีขึ้นได้

อยู่มาวันหนึ่ง มีฤาษีคนหนึ่งมาเยี่ยมท่านเศรษฐี
เศรษฐีได้บอกเกี่ยวกับโรคประจำตัวของเขาให้ฤาษีทราบ ฤาษีจึงบอกกับท่านเศรษฐีว่า

"โธ่เอ๊ย! วิธีรักษาอาการปวดหัวของเจ้ามันง่ายนิดเดียว
นั่นก็คือเจ้าจะต้องมองทุกอย่างให้เป็นสีเขียวตลอดเวลา
แล้วอาการโรคของเจ้าจะหายไป"
เศรษฐีดีใจมากและคิดว่าสิ่งที่ฤาษีแนะนำเขานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก

วันรุ่งขึ้น ท่านเศรษฐีจึงจ้างช่างทาสี หลายร้อยคนมาช่วยกันทาสีของหมู่บ้านให้เป็นสีเขียวทั้งหมด

นอกจากนี้ด้วยความที่รวยมาก ยังซื้อเสื้อผ้า ให้กับคนในหมู่บ้านทุกคนใส่
ในตอนนี้ไม่ว่าท่านเศรษฐีมองไปทางใด ก็จะเป็นสีเขียวตลอดเวลา ตามคำแนะนำของฤาษี

อาการปวดศีรษะของเขา ก็เริ่มดีขึ้นๆ เขาเริ่มเป็นคนยิ้มง่ายและมีความสุขมากขึ้น

สองสามเดือนถัดมา ท่านฤาษีได้กลับมาเยี่ยมเศรษฐีอีกครั้งหนึ่งแต่ก็ต้องเผชิญกับช่างทาสีคนหนึ่งซึ่งร้องตะโกนว่า

"หยุด หยุด ท่านเข้ามาในหมู่บ้านนี้ในชุดนี้ไม่ได้
เดี๋ยวผมจะทาสีท่านให้เป็นสีเขียวก่อน"
ฤาษีก็รีบวิ่งและหนีเข้าไปในบ้านของเศรษฐีได้ในที่สุด
ฤาษีได้พบกับเศรษฐีในบ้านและตำหนิว่า

"ทำไมเจ้าถึงเสียเงินทองและเวลามากมายเพื่อเปลี่ยนสิ่งต่างๆ รอบตัวเจ้าเล่า
เราไม่ได้บอกให้เจ้า ไป ทาสีทุกอย่างให้เป็นสีเขียวเลย
เจ้าเพียงแค่สวมแว่นตาสีเขียวเท่านั้น เจ้าก็จะมองเห็นทุกสิ่ง รอบตัวเป็นสีเขียวแล้ว"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า:
"
หากเราต้องการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัว
เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกคนหรือทุกอย่าง
เราเพียงแต่เปลี่ยนตัวของเราเองก่อน
แล้วเราจะพบว่าทุกสิ่งรอบตัวของเราก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน"

ที่มาของมหาวิทยาลัย Standford......................

สุภาพสตรีในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายเรียบๆกับสามีของเธอในชุดสูทเนื้อผ้าธรรมดาๆ
ก้าวลงจากรถไฟในชานชาลาสถานีเมืองบอสตัน
ทั้งคู่ยืนรออย่างสงบอยู่หน้าสำนักงานอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

เลขานุการสาวดูออกในแว่บเดียวว่าสามีภรรยาซอมซ่อคู่นี้มาจากบ้านนอก
และไม่น่ามีธุระอะไรในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแห่งนี้ได้
... หล่อนขมวดคิ้ว

' เราต้องการพบท่านอธิการบดี' สามีกล่าวนุ่มนวล
' ท่านติดนัดตลอดทั้งวัน' เลขาฯสะบัดเสียงเล็กน้อย
' งั้นเราจะรอ' ภรรยาตอบ

เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่เลขานุการทำเป็นไม่สนใจ
โดยประมาณว่าทั้งคู่คงทนไม่ได้และกลับไปเอง
แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่
เลขาฯสาวเริ่มไม่แน่ใจจึงต้องรบกวนเวลาท่านอธิการบดี

' พวกเขาคงแค่อยากพบท่านครู่เดียวก็กลับ' หล่อนอธิบาย

ท่านอธิการบดีถอนใจด้วยความเบื่อหน่ายแล้วก็พยักหน้าอย่างเสียไม่ได้
จริงๆแล้วคนสำคัญระดับท่านอธิการจะมีเวลาพบคนระดับนี้ได้อย่างไร ?
แต่นั่นเถอะนะ ท่านคิด

ดีกว่าปล่อยให้คู่สามีภรรยาบ้านนอกป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ให้ใครต่อใครมาเห็น

ท่านเชิดหน้าอย่างทรงเกียรติใส่ทั้งคู่ ภรรยากล่าวขึ้น

'ลูกชายของเราเคยเรียนในฮาร์วาร์ด 1 ปี
เขารักฮาร์วาร์ดมากและเขาก็มีความสุขกับที่นี่อย่างยิ่ง
แต่เมื่อปีที่แล้วเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต
สามีและดิฉันก็เลยอยากทำอะไรสักอย่างไว้เป็นที่ระลึกถึงเขาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ '
ท่านอธิการไม่รู้สึกร่วมแต่อย่างใด เพียงแต่ช็อคเล็กน้อย

' คุณผู้หญิงเราไม่สามารถสร้างรูปปั้นให้กับทุกคนที่เคยเรียนฮาร์วาร์ดแล้วก็ตาย
หรอกนะ ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ที่นี่คงดูไม่ต่างไปจากสุสานแน่ '

'โอ...ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ท่านอธิการบดี ' ภรรยารีบอธิบาย
'เราไม่ได้ต้องการจะสร้างรูปปั้น
เราคิดว่าเราจะสร้างตึกให้ฮาร์วาร์ดต่างหาก '

ท่านอธิการกรอกตาไปมา เขามองไปที่ชุดผ้าฝ้ายกับสูทบ้านนอก
'สร้างตึก! พวกคุณรู้ไหมว่าใช้เงินเท่าไรในการสร้างตึกสักหลังหนึ่ง เราใช้เงินไป
มากกว่า 7.5 ล้านดอลลาร์แค่ตอนเริ่มก่อตั้งฮาร์วาร์ดนี่'

เป็นครู่ที่สุภาพสตรีเงียบกริบ ท่านอธิการรู้สึกโล่งอก< /SPAN>
ในที่สุดสามีภรรยาคู่นี้ก็ถูกกำจัดไปได้เสียที

แล้วภรรยาก็หันมาพูดกับสามีเบาๆว่า
' ใช้เงินแค่นั้นเองน่ะหรือในการสร้างมหาวิทยาลัย?
แล้วทำไมเราไม่สร้างของเราเองสักแห่งหนึ่งล่ะ?'
สามีผงกศีรษะ
สีหน้าท่านอธิการเต็มไปด้วยความงงงวยสุดขีด

แล้วนายและนาง ลีแลนด์ สแตนฟอร์ด
ก็เดินทางไปยังพาโลอัลโตในแคลิฟอร์เนีย
ที่ๆพวกเขาก่อตั้งมหาวิทยาลัยภายใต้นามสกุลของครอบครัว
เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ลูกชาย ที่่ฮาร์วาร์ดไม่เคยเห็นคุณค่า ....

เรื่องนี้เป็นประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัย Standford ในสหรัฐฯ
ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังคู่แข่งกับมหาวิทยาลัย Harvard


... อย่าตัดสิ นคนอื่นจากเปลือกนอกเลย..

A Rule of a Mirror...

> กฎแห่งกระจก A Rule of a Mirror
> (กฎมหัศจรรย์ที่จะช่วยแก้ไขทุกปัญหาในชีวิตของคุณ)
> เรื่องต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
> แต่มีการเปลี่ยนชื่อและอาชีพของตัวละครเพื่อความเหมาะสม
> เอโกะ อาคิยามะ
> แม่บ้านอายุย่าง 41 ปี
> มีเรื่องกังวลใจอยู่เรื่องหนึ่ง
> >
> > นั่นก็คือ ยูตะ
> ลูกชายของเธอที่กำลังจะขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่
> 5
> ถูกเพื่อนที่โรงเรียนกลั่นแกล้ง
> >
> >
> เพื่อนๆไม่ได้ใช้กำลังกับเขา
> เพียงแต่มักแสดงท่าทีรังเกียจและมองว่าเขาเป็นตัวปัญหา
> >
> >
> "ผมไม่ได้ถูกแกล้งสักหน่อย"
> ยูตะยืนกรานหนักแน่น
> เอโกะรู้สึกเจ็บปวดใจทุกครั้งที่เห็นลูกชายอยู่อย่างโดดเดี่ยว
> >
> >
> ยูตะชอบเล่นเบสบอลมาก
> แต่เพื่อน ๆ
> ไม่ยอมชวนเขาไปเล่นด้วย
> หลังเลิกเรียนทุกวันเขาจึงต้องไปโยนรับลูกเบสบอลที่กำแพงคนเดียวในสวนสาธารณะ
> >
> >
> ยูตะเคยเล่นเบสบอลกับเพื่อน
> ๆ
> เมื่อประมาณสองปีก่อน
> วันหนึ่งขณะที่เอโกะจ่ายตลาดเสร็จและกำลังจะกลับบ้าน
> เธอเดินผ่านโรงเรียนและเห็นว่ายูตะกำลังเล่นเบสบอลกับเพื่อนอยู่ในสนาม
> >
> >
> ยูตะเล่นพลาดและเพื่อนๆก็กำลังรุมต่อว่าเขา
> >
> >
> เพื่อนร่วมทีมต่างตำหนิยูตะเสียงดังอย่างไม่ไว้หน้า
> >
> >
> "นายนี่เล่นห่วยจริงๆ
> เลย!"
> >
> >
> "เพราะนายนั่นแหล่ะ
> เราถึงเสียไปตั้งสามแต้ม
> !"
> >
> >
> "ถ้าจะแพ้ก็เพราะนายนี่แหล่ะ
> !"
> >
> > เอโกะนึกในใจว่า
> >
> >
> "ถึงยูตะจะเล่นกีฬาไม่เก่ง
> แต่เขาก็มีจิตใจโอบอ้อมอารีนะ
> ยูตะเองก็มีข้อดีเหมือนกัน..."
> >
> >
> เอโกะนึกเจ็บใจแทนยูตะที่ไม่มีใครมองเห็นข้อดีของเขาเลย
> เธอยังทนไม่ได้ที่ต้องเห็นลูกยิ้มและขอโทษเพื่อนทั้ง
> ๆ
> ที่พวกเขาพูดจาไม่ดีใส่
> >
> >
> ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเพื่อน
> ๆ
> ก็ไม่ชวนยูตะไปเล่นเบสบอลด้วยอีกเลย
> >
> >
> "นายน่ะเป็นตัวถ่วง
> ใครจะอยากเล่ยด้วยล่ะ"
> เพื่อนพูดกับเขาอย่างนั้น
> >
> >
> ยูตะทุกข์ใจมากที่ไม่มีใครชวนไปเล่นเบสบอลด้วย
> ซึ่งเอโกะก็รู้ดี
> เพราะสังเกตเห็นได้ว่ายูตะหงุดหงิดใส่เธอบ่อยขึ้น
> >
> >
> แต่ยูตะก็ไม่เคยบอกเอโกะว่าเขาเหงาหรือทุกข์ใจเลย
> >
> > สำหรับเอโกะแล้ว
> เรื่องที่เธอทุกข์ใจมากที่สุดก็คือการที่ลูกชายไม่ยอมเปิดใจกับเธอ
> >
> >
> "ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย"
> ลูกชายของเธอยังคงยืนยันเช่นเดิม
> >
> >
> แม้เอโกะจะพยายามสอน
> "วิธีการคบเพื่อนอย่างชาญฉลาด"
> ให้
> แต่เขาก็บอกปัดเสมอว่า
> "วุ่นวายจริง ๆ เลย!
> อย่ามายุ่งได้มั้ย"
> >
> >
> หรือเมื่อเธอเสนอกับลูกว่า
> "ย้ายโรงเรียนดีไหมจ๊ะ"
> ยูตะก็หัวเสียตอบกลับว่า
> "ถ้าแม่ทำแบบนั้นนะ
> ผมจะโกรธแม่ไปชั่วชีวิตเลย
> คอยดู!"
> >
> >
> เอโกะได้แต่ทุกข์ใจที่ตัวเองไม่เอาไหน
> และเป็นที่พึ่งพิงให้ลูกชายไม่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้
> >
> >
> >
> > วันหนึ่ง
> ยูตะอารมณ์เสียกลับมาบ้านหลังจากออกไปเล่นเบสบอลที่สวนสาธารณะคนเดียวเช่นเคย
> >
> >
> "เป็นอะไรไปน่ะลูก"
> เอโกะถาม
> "ไม่มีอะไรหรอกฮะ"
> ยูตะไม่ยอมเล่าอะไร
> >
> >
> แต่แล้วความจริงก็เปิดเผยเมื่อเพื่อนบ้านที่ค่อนข้างสนิทสนมกันโทรศัพท์มาหาเธอในคืนนั้น
> >
> > "คุณเอโกะคะ
> ยูตะเล่าอะไรให้คุณฟังบ้างไหมคะ"
> >
> > "เอ๊ะ
> ก็เปล่านี่คะ"
> >
> >
> "คือว่าวันนี้ฉันพาลูกไปเล่นชิงช้าที่สวนสาธารณะมาน่ะค่ะ
> แล้วก็เห็นยูตะกำลังเล่นเบสบอลอยู่คนเดียวเหมือนเคย
> จู่ ๆ
> เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเจ็ดแปดคนก็เดินไปบอกกับยูตะว่า
> 'เรากำลังจะไปเล่นดอดจ์บอลกัน
> ไปก่อนนะเพื่อน!'
> เท่านั้นไม่พอ
> เด็กคนหนึ่งยังขว้างลูกบอลใส่ยูตะด้วยค่ะ
> >
> ยูตะเลยรีบกลับบ้านทันที
> ฉันเองก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ
> ตอนนั้นไม่รู้จริง ๆ
> ว่าจะทำยังไงดี"
> >
> > เอโกะอึ้งไปชั่วขณะ
> >
> > "มีเรื่องขนาดนี้
> ยูตะยังไม่ยอมเล่าให้ฟังเลย…"
> >
> >
> เอโกะเสียใจที่ลูกไม่เปิดใจปรับทุกข์กับเธอ
> แต่ก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะเซ้าซี้ถามลูกในวันนั้น
> >
> >
> >
> > วันต่อมา
> เอโกะตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาคนคนหนึ่ง
> >
> > คนคนนั้นคือ
> คุณยางุจิ
> รุ่นพี่ของสามีเธอ
> >
> >
> เอโกะไม่เคยคุยกับคุณยางุจิโดยตรง
> สามีของเธอเพิ่งจะให้นามบัตรของเขามาเมื่อสัปดาห์ก่อน
> >
> >
> คุณยางุจิเป็นรุ่นพี่ในชมรมเคนโดเมื่อสมัยมัธยมปลาย
> สามีของเธอไม่ได้พบกับเขามาเกือบ
> 20 ปีแล้ว
> แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับได้พบกันโดยบังเอิญ
> >
> >
> ทั้งสองมีเรื่องคุยกันหลายเรื่องหลังจากไม่ได้พบกันมานาน
> รู้ตัวอีกทีก็นั่งแช่อยู่ในร้านกาแฟนานกว่าสองชั่วโมง
> ปัจจุบันคุณยางุจิทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ
> >
> > สามีของเธอเล่าว่า
> คุณยางุจิเชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและให้คำปรึกษาแก่ทั้งบริษัทและบุคคลทั่วไป
> สามีของเธอเล่าเรื่องของยูตะให้คุณยางุจิฟัง
> เขาจึงยื่นนามบัตรให้แล้วบอกว่า
> "ผมน่าจะช่วยได้นะ"
> >
> >
> วันนั้นสามีบอกกับเธอว่า
> "คุณลองโทร.ไปคุยกับเขาดูสิผมเกริ่นเอาไว้ให้แล้ว"
> พร้อมกับยื่นนามบัตรให้
> >
> >
> "ทำไมฉันต้องโทร.ไปคุยกับคนที่ไม่รู้จักด้วยล่ะ
> คุณก็คุยไปคนเดียวสิ"
> >
> >
> "คนที่น่าเป็นห่วงคือคุณนะ
> ผมเห็นคุณกังวลเรื่องยูตะมานานแล้ว
> ก็เลยลองปรึกษาคุณยางุจิดู"
> >
> >
> "หมายความว่าปัญหาอยู่ที่ฉันงั้นเหรอ
> คนเป็นแม่จะเป็นห่วงลูกก็ไม่เสียหายตรงไหนนี่!
> คุณน่ะได้แต่ขับรถไปวันๆจะไปทุกข์ร้อนอะไรล่ะ
> คนที่เลี้ยงยูตะก็มีแต่ฉันคนเดียวนี่แหล่ะ
> คุณไม่เคยต้องเป็นห่วงหรอก
> ฉันไม่มีทางคุยกับเขาแน่นอน
> ถึงยังไงเขาก็คงไม่เคยเลี้ยงลูกอยู่แล้ว
> เหมือนคุณน่ะแหล่ะ"
> >
> >
> พูดจบเอโกะก็โยนนามบัตรทิ้งไว้บนโต๊ะอาหาร
> >
> > หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป
> หลังจากได้ฟังเรื่องที่เพื่อนบ้านเล่า
> เอโกะก็รู้สึกสิ้นหวัง
> เธออยากหาทางออกไปให้พ้นจากปัญหานี้เสียที
> >
> >
> "ฉันไม่อยากทุกข์ทรมานอีกแล้ว
> ใครก็ได้ช่วยฉันที"
> >
> >
> แล้วเธอก็นึกถึงคุณยางุจิขึ้นมา
> โชคดีที่เธอหานามบัตรของเขาพบ
> >
> >
> หลังจากที่ยูตะออกไปโรงเรียนได้ชั่วโมงหนึ่ง
> เธอจึงโทรศัพท์ไปหาคุณยางุจิ
> >
> >
> แล้วในวันนั้นเธอก็ได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
> >
> >
> >
> >
> โอเปอเรเตอร์สาวต่อสายของเธอให้คุณยางุจิ
> >
> > เอโกะแนะนำตัว
> เสียงของคุณยางุจิที่ดังมาตามสายฟังดูอารมณ์ดี
> เธออดคิดไม่ได้ว่า
> ปรึกษาเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้จะดีหรือ
> >
> > เธออ้ำอึ้ง
> ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรจนกระทั่งคุณยางุจิเอ่ยว่า
> >
> >
> "ไม่ทราบว่าใช่ภรรยาของคุณอาคิยามะหรือเปล่าครับ"
> >
> > "ค่ะ ใช่แล้วค่ะ"
> >
> > "อ้อ ครับ
> ยินดีที่ได้รู้จักครับ"
> >
> > "เอ่อ
> คือสามีดิฉันเล่าอะไรให้คุณฟังบ้างแล้วหรือยังคะ"
> >
> > "ครับ
> เขาเกริ่นให้ผมฟังว่าคุณกำลังกังวลเรื่องลูกชายอยู่..."
> >
> >
> "ไม่ทราบว่าพอจะให้คำปรึกษาดิฉันหน่อยได้ไหมคะ"
> >
> >
> "ตอนนี้ผมมีเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง
> ถ้าคุณสะดวก
> เล่าให้ผมฟังเลยได้ไหมครับ"
> >
> >
> เอโกะจึงเล่าคร่าวๆถึงเรื่องที่ยูตะถูกเพื่อนแกล้งและไม่มีใครเล่นด้วย
> รวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
> >
> >
> หลังจากฟังเธอเล่าจบ
> คุณยางุจิก็เอ่ยขึ้นว่า
> >
> >
> "คุณคงกังวลใจมากเลยสินะครับ
> ไม่มีเรื่องไหนจะทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจได้เท่าเรื่องลูกอีกแล้ว"
> >
> > พอได้ยินคำนั้น
> เอโกะก็น้ำตาคลอ
> >
> >
> คุณยางุจิรู้สึกว่าเอโกะกำลังร้องไห้
> จึงรอให้เธอสงบสติอารมณ์ก่อน
> แล้วจึงพูดต่อ
> >
> > "คุณครับ
> คุณต้องการแก้ปัญหานี้ให้ได้จริงๆใช่ไหม
> เราน่าจะหาทางแก้ไขได้นะครับ"
> >
> >
> เอโกะแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินคำว่า
> "แก้ไข"
> เพราะเธอกลุ้มใจเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว
> เธออยากแก้ปัญหาให้ได้จริงๆตามที่คุณยางุจิพูด
> >
> >
> "ถ้ามันช่วยได้แน่ๆ
> ดิฉันก็ยินดีทำตามทุกอย่างเลยค่ะ
> ดิฉันตั้งใจจริงนะคะ
> แต่ว่าต้องทำยังไงบ้างเหรอคะ"
> >
> >
> "ถ้าอย่างงั้นเรามาช่วยกันหาทางแก้เถอะครับ
> ในตอนนี้เท่าที่ผมรู้ก็คือ
> คุณกำลังเกลียดใครบางคนใกล้ตัว"
> >
> > "เอ๊ะ
> หมายความว่ายังไงคะ"
> >
> >
> "ผมคงพูดข้ามไปหน่อย
> ความจริงผมควรอธิบายหลักการคร่าวๆให้คุณฟังก่อน
> แต่ว่าตอนนี้ผมมีเวลาไม่มาก
> เอาเป็นว่าขอพูดสรุปเลยแล้วกันนะครับ
> ที่ลูกชายคนสำคัญของคุณถูกเพื่อนแกล้งจนคุณต้องกังวลใจนั้น
> ก็เพราะคุณไม่เคยนึกขอบคุณคนที่ควรจะขอบคุณเลย
> ไม่ใช่แค่นั้นครับ
> >
> คุณยังรู้สึกเกลียดชังคนเหล่านั้นตลอดมาด้วย"
> >
> >
> "ลูกถูกเพื่อนแกล้งกับปัญหาส่วนตัวของดิฉันมันเกี่ยวข้องกันได้ยังไงคะ
> ฟังเหมือนเป็นความเชื่อทางศาสนามากกว่านะคะ"
> >
> >
> "ไม่แปลกที่จะคิดอย่างนั้นครับ
> โรงเรียนมักสอนให้เราเชื่อเฉพาะสิ่งที่พิสูจน์ได้
> แต่สิ่งที่ผมบอกไปเมื่อครู่เป็นกฎในสาขาวิชาจิตวิทยาที่ได้รับการค้นพบมานานแล้ว
> จะนึกว่าเป็นเรื่องทำนองเดียวกับความเชื่อศาสนาที่มีมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ก็ได้ครับ
> ไม่เป็นไร
> แต่โดยส่วนตัวแล้ว
> >
> ผมไม่ได้นับถือศาสนาอะไรนะครับ"
> >
> >
> "ช่วยอธิบายกฎนั้นให้ดิฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ"
> >
> > "ได้สิครับ
> กฎนั้นก็คือ
> เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ
> "ผลลัพธ์" เมื่อมี
> "ผลลัพธ์" ก็ต้องมี
> "ต้นเหตุ"
> และต้นเหตุก็มีที่มาจากจิตใจของเราเอง
> หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ
> เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตคือกระจกส่องสะท้อนจิตใจของเราเอง
> ตัวอย่างเช่น
> เวลาส่องกระจกเราก็จะเห็นว่า
> 'เอ๊ะ
> > ผมยุ่งเชียว!' หรือ
> 'อะไรกัน
> ทำไมวันนี้หน้าตาถึงได้ซีดเซียวขนาดนี้'
> ถ้าไม่มีกระจก
> เราก็มองไม่เห็นสภาพของตัวเอง
> จริงไหมครับ
> ลองคิดว่าชีวิตของคุณคือ
> กระจก
> การมีกระจกที่เรียกว่าชีวิตจะทำให้เรามองเห็นสภาพของตัวเอง
> และเกิดแรงจูงใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
> >
> ชีวิตของคนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดครับ"
> >
> >
> "สิ่งที่ดิฉันกังวลอยู่ตอนนี้สะท้อนให้เห็นอะไรหรอคะ"
> >
> >
> ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือ
> 'ลูกชายคนสำคัญของคุณกำลังเป็นทุกข์เพราะถูกเพื่อนแกล้ง'
> ต้นเหตุที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือคุณ
> 'กำลังเกลียดคนที่คุณควรจะให้ความสำคัญ'
> คุณคิดแบบนั้นบ้างหรือเปล่าครับ
> อย่างเช่นว่าเกลียดคนที่คุณควรจะต้องสำนึกขอบคุณ
> หรือไม่ก็เกลียดคนใกล้ตัว
> >
> คุณเกลียดสามีอยู่หรือเปล่าครับ
> ในเมื่อเขาอยู่ใกล้ชิดคุณมากที่สุด"
> >
> > ไม่นี่คะ
> ดิฉันนึกขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำ
> เขาขยันทำงานขับรถบรรทุกเพื่อให้เรามีอยู่มีกินอย่างทุกวันนี้"
> >
> >
> ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วครับ
> แล้วคุณให้ความสำคัญกับสามีคุณมากน้อยแค่ไหนครับ
> เคารพเขาไหม"
> >
> >
> >
> >
> เอโกะสะดุ้งเมื่อได้ยินคำว่า
> "เคารพ"
> เพราะเธอรู้สึกดูแคลนสามีอยู่ตลอดเวลา
> >
> >
> เอโกะมองว่าคนที่มองโลกในแง่ดีอย่างสามีคือคนที่
> "ไม่มีความคิด"
> และบางครั้งยังมองว่า
> "ไม่มีการศึกษา"
> อีกด้วย
> >
> >
> เอโกะเรียนจบมหาวิทยาลัย
> แต่สามีจบแค่ชั้นมัธยมปลายไม่เพียงเท่านั้น
> สามีของเธอยังเป็นคนพูดจากระด้าง
> ชอบอ่านแต่นิตยสารรายสัปดาห์
> ส่วนเอโกะชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ
> เธอจึงคิดอยู่เสมอว่า
> "ขออย่าให้ยูตะเป็นเหมือนสามีเลย"
> >
> >
> แล้วเอโกะก็เล่าให้คุณยางุจิฟังว่าเธอคิดอย่างไร
> >
> >
> "คุณคิดว่าคุณค่าของคนขึ้นอยู่กับการศึกษา
> ความรู้
> หรือไม่ก็ความคิดหรือเปล่าครับ"
> >
> > "ไม่ค่ะ
> ไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย
> ดิฉันคิดว่าทุกคนต่างก็มีจุดเด่นและความสามารถเฉพาะตัว"
> >
> >
> "ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงดูถูกสามีว่า
> 'ไม่มีความรู้'
> ล่ะครับ"
> >
> >
> "เอ่อ...ดิฉันมีความขัดแย้งในตัวเองใช่ไหมคะนี่"
> >
> >
> แล้วความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับสามีเป็นยังไงบ้างครับ"
> >
> >
> "ดิฉันมักจะไม่พอใจพฤติกรรมกับคำพูดของเขาอยู่บ่อยๆค่ะ
> บางทีก็ถึงขั้นทะเลาะกัน"
> >
> >
> "แล้วเรื่องของยูตะล่ะครับ
> สามีคุณว่ายังไงบ้าง"
> >
> >
> "ดิฉันบ่นกับเขาเรื่องที่ยูตะถูกเพื่อนแกล้งอยู่เหมือนกันค่ะ
> แต่ก็ไม่เคยรับฟังความคิดเห็นหรือคำแนะนำจากเขาเลย
> เราไม่เคยปรึกษากันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวสักที
> คงเป็นเพราะดิฉันไม่ยอมรับสามีน่ะค่ะ"
> >
> > "อย่างนี้นี่เอง
> แต่ดูเหมือนจะมีสาเหตุอื่นด้วยนะครับ
> ผมว่าเราควรแก้ปัญหานั้นก่อน
> แล้วค่อยกลับมาดูเรื่องนี้กันอีกทีดีกว่าครับ"
> >
> >
> >
> >
> "สาเหตุอื่นเหรอคะ"
> >
> >
> "เราต้องหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้คุณไม่ยอมรับในตัวสามีครับ
> ผมขอถามหน่อยนะครับ
> คุณสำนึกบุญคุณของพ่อบ้างหรือเปล่า"
> >
> > "เอ๊ะ พ่อเหรอคะ
> ก็ต้องสำนึกสิคะ..."
> >
> >
> "ลึกๆแล้วคุณรู้สึกว่าท่านทำสิ่งที่คุณ
> 'ให้อภัยไม่ได้'
> บ้างไหมครับ"
> >
> >
> เอโกะรู้สึกว่ามีบางอย่างสะกิดใจเธอเมื่อได้ยินคำว่า
> "ให้อภัยไม่ได้"
> >
> >
> เธอเริ่มคิดว่าตัวเองอาจไม่เคยให้อภัยพ่อเลย
> >
> >
> เธอรู้สึกสำนึกบุญคุณพ่อในฐานะที่ท่านเป็นพ่อ
> แต่เธอไม่ได้รักพ่อ
> >
> >
> ทุกๆปีนับแต่แต่งงานออกไป
> เอโกะจะกลับบ้านช่วงเทศกาลเซ่นไหว้บรรพบุรุษและวันปีใหม่
> แต่เธอก็แทบไม่คุยกับพ่อ
> แค่ทักทายตามมารยาทเท่านั้น
> >
> >
> เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต
> เธอรู้สึกว่าพ่อเป็นคนอื่นมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายแล้ว
> >
> >
> "ดิฉันคงไม่เคยให้อภัยพ่อเลยน่ะค่ะ
> และก็คงจะทำไม่ได้ด้วย"
> >
> > "เหรอครับ
> ดูเหมือนยากที่คุณจะให้อภัยท่าน
> แต่จะลองพยายามดูได้ไหมครับ"
> >
> >
> "ต้นเหตุของความทุกข์นี้เกี่ยวข้องกับพ่อและสามีของดิฉันจริงๆเหรอคะ"
> >
> >
> "คุณต้องลองก่อนถึงจะรู้ครับ"
> >
> > "เข้าใจแล้วค่ะ
> บอกมาได้เลยค่ะว่าดิฉันต้องทำอะไรบ้าง"
> >
> > "ถ้าอย่างนั้น
> ก่อนอื่น
> ช่วยลองทำสิ่งที่ผมกำลังจะบอกต่อไปนี้นะครับ
> ผมอยากให้คุณเขียนระบายความรู้สึกที่คุณคิดว่า
> 'ให้อภัยไม่ได้'
> ลงบนกระดาษ
> เป็นคำพูดระบายความโกรธก็ได้ครับ
> อย่างเช่น '****บ้า'
> หรือไม่ก็ 'ทุเรศ'
> หรือไม่ก็
> 'หนูเกลียดพ่อ!'
> อะไรทำนองนั้นน่ะครับ
> >
> ถ้านึกเหตุการณ์ในอดีตออกก็เขียนลงไปด้วย
> เช่นว่า
> 'เรื่องราวในตอนนั้นทำให้ฉันรู้สึกแย่'
> ระบายความเจ็บแค้น
> ความทุกข์ทุกอย่างลงไปในกระดาษให้หมด
> ไม่ต้องยั้งเลยนะครับ
> คุณต้องเขียนความรู้สึกของตัวเองออกมา
> เขียนไปจนกว่าจะพอใจ
> แล้วค่อยโทรศัพท์มาหาผม
> ผมจะบอกเบอร์มือถือให้นะครับ"
> >
> >
> เอโกะยังนึกสงสัยอยู่ว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยแก้ปัญหาอย่างไรได้
> >
> >
> แต่เธอคิดว่าถ้ามีความเป็นไปได้ก็น่าจะลองดู
> ดีกว่านั่งสงสัยแล้วไม่ทำอะไรเลย
> เอโกะคิดว่า
> "จะลองทำทุกอย่างหากสิ่งนั้นจะช่วยแก้ปัญหาในตอนนี้ได้"
> >
> >
> ถึงแม้เธอจะไม่เข้าใจเหตุผลของคุณยางุจิ
> แต่คำพูดของเขาก็ฟังดูน่าเชื่อถือ
> หลังจากที่เอโกะวางโทรศัพท์
> เธอก็หยิบกระดาษเปล่าสำหรับเขียนรายงานมาเริ่มเขียนระบายความรู้สึกที่มีต่อพ่อของตัวเอง
> >
> >
> สมัยที่เอโกะยังเด็ก
> พ่อของเธอเป็นคนจู้จี้ขี้บ่น
> บ่อยครั้งที่เวลาอาหารเย็นกลายเป็นเวลาของการเทศนาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น และเมื่อลูกๆทำอะไรไม่ได้ดั่งใจก็จะตะโกนด่าว่าเสียๆหายๆนั่นละพ่อของเธอ
> >
> >
> 'พ่อไม่สนหรอกว่าฉันรู้สึกยังไง!'
> หลายครั้งที่เธอคิดอย่างนั้น
> >
> >
> และเธอก็ไม่พอใจที่พ่อชอบบ่นเรื่องงานเวลาเหล้าเข้าปาก
> >
> >
> พ่อเป็นคนงานคุมการก่อสร้าง
> เมื่อเลิกงานกลับมาบ้าน
> พ่อจะนั่งกินข้าวทั้งๆที่ยังสวมเสื้อผ้าเปื้อนเหงื่อ
> เลอะเศษดินและทรายเต็มไปหมด
> >
> >
> เอโกะเขียนระบายความรู้สึกออกมาไม่หยุด
> >
> >
> รู้ตัวอีกทีก็มีคำว่า
> "คนไม่ได้ความ!" และ
> "คนแบบนี้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพ่อหรอก!"และอื่นๆอีกมากมาย
> บางคำก็ค่อนข้างรุนแรงทีเดียว
> >
> >
> เธอนึกถึงเรื่องราวในอดีตสมัยชั้นมัธยมปลาย
> เธอเคยออกไปเที่ยวกับเพื่อนผู้ชายในวันอาทิตย์แล้วพ่อบังเอิญผ่านมาเห็นเข้าพอดี
> เมื่อกลับถึงบ้านเธอจึงถูกพ่อดุอย่างรุนแรง
> >
> >
> เธอโกหกพ่อแม่ว่าไปเที่ยวกับเพื่อนผู้หญิง
> และพ่อก็รับไม่ได้ที่เธอโกหก
> >
> >
> เธอยังจำคำพูดของพ่อในวันนั้นได้ดี
> >
> >
> "แกแอบคบกับเขาเสียๆหายๆหรือยังไง
> ถึงต้องปิดบังพ่อแม่!
> แกไม่มีทางโตขึ้นมาเป็นผู้หญิงดีๆเหมือนใครเขาได้หรอก!"
> >
> >
> น้ำตาแห่งความคับแค้นใจรินไหลออกมา
> เธอเขียนต่อไป
> >
> >
> "ก็เพราะพ่อเป็นเสียแบบนี้
> หนูถึงต้องโกหกไงเล่า!
> พ่อนั่นแหล่ะที่เป็นต้นเหตุ
> ไม่รู้หรือยังไง
> 'แกไม่มีทางโตขึ้นมาเป็นผู้หญิงดีๆเหมือนใครเขาได้หรอก'
> พ่อพูดเกินไปแล้ว
> พ่อไม่รู้หรอกว่าหนูเสียใจแค่ไหนที่พ่อพูดแบบนี้!
> พ่อต่างหากที่ไม่ดี!
> หนูไม่อยากพูดอะไรกับพ่ออีกตั้งแต่นั้นมา
> >
> พ่อนั่นแหล่ะทำตัวเอง!"
> >
> >
> ขณะที่เขียนน้ำตาก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย
> >
> >
> รู้ตัวอีกทีก็เลยเที่ยงวันไปนานแล้ว
> เธอเขียนอยู่เกือบสองชั่วโมง
> กระดาษเขียนรายงานหลายสิบแผ่นเต็มไปด้วยข้อความแห่งความโกรธแค้น
> ไม่รู้ว่าเพราะได้เขียนระบายความคับแค้นใจหรือเพราะว่าได้ร้องไห้ออกมา
> เอโกะจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
> >
> >
> เอโกะโทรศัพท์หาคุณยางุจิอีกครั้งตอนบ่ายโมงกว่า
> >
> >
> "เขียนเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ"
> >
> > "ค่ะ
> ดิฉันระบายทุกอย่างออกมาจนหมด
> แล้วพอได้ร้องไห้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ"
> >
> >
> "คุณพร้อมที่จะให้อภัยคุณพ่อหรือยังครับ"
> >
> > "พูดตรงๆนะคะ
> ดิฉันคงยังไม่ค่อยพร้อม
> แต่ก็จะลองดูค่ะ
> ถ้าทำได้ดิฉันก็จะให้อภัย
> จะได้สบายใจเสียที"
> >
> >
> "ถ้าอย่างนั้นก็มาเริ่มกันเลยครับ
> การให้อภัยคุณพ่อเป็นการทำเพื่อตัวคุณเองนะครับ
> ช่วยหยิบกระดาษมาเขียนหัวข้อว่า
> 'สิ่งที่ควรขอบคุณพ่อ'
> ทีครับ เอาละ
> สิ่งที่คุณจะขอบคุณท่านได้มีอะไรบ้างครับ"
> >
> > "อย่างแรกเลยคือ
> พ่อทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว
> เพราะพ่อ
> ครอบครัวเราจึงมีกินมีใช้
> และดิฉันก็โตมาได้จนทุกวันนี้"
> >
> > "เขียนลงไปเลยครับ
> แล้วอย่างอื่นล่ะครับ"
> >
> > "เอ่อ...สมัยประถม
> พ่อชอบพาดิฉันไปเล่นที่สวนสาธารณะบ่อยๆค่ะ"
> >
> >
> "เขียนลงไปด้วยครับ
> มีอีกไหมครับ"
> >
> > "คงเท่านี้มังคะ"
> >
> >
> "ถ้าอย่างนั้นหยิบกระดาษแผ่นใหม่มาเขียนหัวข้อว่า
> 'สิ่งที่อยากขอโทษพ่อ'
> น่ะครับ
> คุณมีเรื่องที่อยากขอโทษพ่อบ้างไหมครับ"
> >
> > "คิดไม่ออกเลยค่ะ
> ถ้าจะมีก็คงเป็นเรื่องที่ดิฉันนึกต่อต้านพ่ออยู่ตลอดเวลา
> แต่ใจจริงแล้วดิฉันไม่อยากขอโทษเลยค่ะ"
> >
> >
> "ไม่ต้องเอาตามความรู้สึกที่แท้จริงก็ได้ครับ
> แค่เริ่มจากการกระทำภายนอกก่อน
> ยังไงช่วยเขียนสิ่งที่คุณเพิ่งพูดลงไปก่อนนะครับ"
> >
> > "เขียนแล้วค่ะ
> เอ่อ
> แล้วที่บอกว่าเริ่มจากการกระทำภายนอกนี่คืออะไรเหรอคะ"
> >
> > "ฟังให้ดีนะครับ
> จากนี้ไปคุณต้องรวบรวมความกล้าแล้วละครับ
> นี่อาจเป็นสิ่งที่คุณต้องใช้ความกล้ามากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้
> วิธีที่ผมจะแนะนำคุณต่อไปนี้
> คุณอาจไม่อยากทำตาม
> แต่จะทำหรือไม่
> คุณต้องตัดสินใจเอาเองครับ
> >
> >
> ผมอยากให้คุณโทรศัพท์ไปหาคุณพ่อ
> แล้วพูด
> ขอบคุณและขอโทษ ท่าน
> ถ้าคุณไม่อยากพูดเพราะไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น
> พูดตามที่เตรียมเอาไว้ก็ได้ครับ
> แค่อ่านข้อความในกระดาษสองแผ่นที่เขียน
> 'สิ่งที่ควรขอบคุณพ่อ'
> และ
> 'สิ่งที่อยากขอโทษพ่อ'
> แค่บอกท่านไปตามนั้นเองครับ
> >
> พูดเสร็จแล้วจะวางสายเลยก็ได้ลองดูนะครับ"
> >
> >
> "...ดิฉันคงต้องใช้ความกล้ามากที่สุดในชีวิตอย่างที่คุณพูดละมังคะ
> แต่ถ้าสิ่งนี้จะช่วยแก้ปัญหาได้
> ก็มีค่าควรแก่การลองจริงไหมคะ
> แต่ก็ยากจังเลยค่ะ..."
> >
> > "จะทำหรือไม่
> คุณต้องตัดสินใจเอาเองครับ
> แต่ผมคิดว่ามีค่าพอที่จะลองใช้ความกล้าดู
> พอดีว่าผมต้องไปทำธุระต่อแล้วยังไงขอตัวก่อนนะครับ
> ถ้าคุณโทรศัพท์ไปหาคุณพ่อเรียบร้อยเมื่อไหร่
> ขอให้โทร.มาหาผม
> แล้วผมจะบอกขั้นตอนต่อไปให้ครับ"
> >
> > คำพูดที่ว่า
> "เริ่มจากการกระทำภายนอกก่อน"
> เป็นแรงจูงใจให้เอโกะคิดว่าน่าจะลองทำตามที่คุณยางุจิแนะนำดู
> >
> >
> เธอทำใจไม่ได้ที่จะต้องขอโทษ
> เพราะคิดว่าคนผิดคือพ่อ
> เธอไม่ควรเป็นฝ่ายต้องขอโทษเลย
> >
> >
> แต่ถ้าแค่อ่านสิ่งที่เขียนเอาไว้โดยไม่ต้องรู้สึกตามนั้นจริงๆ
> เธอก็น่าจะทำได้
> และควรที่จะลองทำดู
> >
> >
> เอโกะคิดว่าจะโทรศัพท์ไปหาพ่อ
> และอดแปลกใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำไม่ได้
> >
> >
> ถ้าไม่มีแรงจูงใจเช่นนี้
> เอโกะคงไม่มีโอกาสได้คุยกับพ่อไปตลอดชีวิต
> >
> >
> ตอนที่เพิ่งแต่งงานใหม่ๆ
> ทุกครั้งที่เธอโทรศัพท์กลับบ้าน
> ถ้าพ่อเป็นคนรับสาย
> เธอจะรีบพูดว่า
> "นี่หนูเองนะ
> ขอคุยกับแม่หน่อย"
> >
> > แต่เดี๋ยวนี้
> พอเอโกะพูดว่า
> "นี่หนูเองนะ"
> เธอก็จะได้ยินเสียงพ่อร้องเรียกแม่ว่า
> "แม่ เอโกะโทร.มา"
> พ่อเองก็คงรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่เอโกะจะคุยด้วย
> >
> >
> แต่วันนี้เธอจะคุยกับพ่อ
> >
> >
> >
> > 'ถ้ามัวลังเล
> เดี๋ยวก็ไม่อยากโทร.ขึ้นมาหรอก'
> เมื่อเอโกะคิดเช่นนั้นจึงรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาทันที
> >
> > แม่เป็นคนรับสาย
> >
> > "นี่หนูเองนะคะ"
> >
> > "อ้าว เอโกะเหรอ
> สบายดีไหมลูก"
> >
> > "ก็ดีค่ะ...เอ่อ
> แม่คะ พ่ออยู่ไหมคะ"
> >
> > "เอ๊ะ พ่อเหรอ
> มีธุระอะไรกับพ่อล่ะ"
> >
> > "เอ่อ
> ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกค่ะ"
> >
> > "เอ แปลกจัง
> แล้วมีธุระอะไรล่ะจ๊ะ"
> >
> > "เอ่อ
> มันก็ออกจะแปลกๆอยู่สักหน่อยน่ะค่ะแม่
> เรื่องมันยาวขอหนูคุยกับพ่อเองได้ไหมคะ"
> "อย่างนั้นก็ได้จ้ะ
> รอเดี๋ยวนะ"
> >
> >
> ในช่วงวินาทีที่รอพ่อเดินมารับโทรศัพท์
> ความตื่นเต้นของเอโกะก็ถึงขีดสุด
> >
> >
> เธอเกลียดพ่อและไม่ยอมคุยเปิดอกกับพ่อมาตลอด
> >
> >
> แต่ตอนนี้เธอกำลังจะกล่าวขอบคุณและขอโทษพ่อ
> ซึ่งความจริงแล้วเธอไม่น่าจะทำได้
> >
> >
> เอโกะเป็นกังวลเรื่องของยูตะ
> และความกังวลนั้นก็ทวีความรุนแรงขึ้นจนทำให้เธอทำสิ่งที่ไม่น่าจะทำได้
> >
> >
> ถ้ามีความเป็นไปได้ที่จะช่วยให้เธอหลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์นี้ละก็
> เธอยอมทำทุกวิถีทาง
> >
> >
> ความคิดนี้เป็นแรงผลักดันให้เอโกะโทรศัพท์ไปหาพ่อของตัวเอง
> >
> > พ่อรับสาย
> >
> > "มะ...มีอะไร
> มีธุระอะไรเหรอ"
> >
> > เอโกะคิดอะไรไม่ออก
> เธอไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
> >
> > "อะ เอ่อ คือ
> หนูอยากบอกอะไรกับพ่อน่ะค่ะ
> คือหนูไม่เคยบอกเลย
> แต่คิดว่าน่าจะบอกสักหน่อย
> ก็เลยโทร.มาน่ะค่ะ...คือว่าพ่อทำงานก่อสร้างคงเหนื่อยมาก
> เพราะพ่อตรากตรำทำงานหนัก
> หนูถึงโตมาได้ เออ
> ตอนหนูเป็นเด็ก
> พ่อชอบพาหนูไปเล่นที่สวนสาธารณะบ่อยๆใช่มั้ยล่ะคะ
> หนูเลยคิดว่าน่าจะขอบคุณพ่อ
> >
> อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ
> หนูไม่เคยพูดออกมา
> ก็เลยว่าจะบอกพ่อสักครั้ง
> แล้วก็...หนูรู้สึกต่อต้านพ่อ
> เถียงพ่ออยู่ในใจมาตลอด
> เลยคิดว่าควรจะขอโทษพ่อด้วยค่ะ"
> >
> > เธอพูด "ขอบคุณ"
> หรือ "ขอโทษ"
> ออกไปชัดๆไม่ได้
> >
> >
> แต่ก็พูดสิ่งที่ควรพูดออกไปแล้ว
> >
> >
> เธอคิดจะวางสายทันทีที่ได้ยินเสียงพ่อตอบรับกลับมา
> >
> >
> แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ
> >
> > 'ถ้าไม่ตอบ
> แล้วจะวางสายได้ยังไงกันล่ะ'
> ทันทีที่เธอคิดเช่นนั้น
> เธอก็ได้ยินเสียงของแม่ดังมาตามสาย
> >
> > "เอโกะ!
> ลูกพูดอะไรกับพ่อน่ะ"
> >
> > "คะ?"
> >
> >
> "หนูว่าอะไรพ่อเขา!
> พ่อเขาลงไปนั่งร้องไห้อยู่กับพื้นแล้วรุ้ไหม!"
> >
> >
> เธอได้ยินเสียงร้องไห้ของพ่อทางโทรศัพท์
> >
> >
> เธอทำอะไรไม่ถูกเพราะความตกใจ
> >
> > ตั้งแต่เกิดมา
> เธอไม่เคยได้ยินพ่อร้องไห้เลยสักครั้ง
> >
> >
> พ่อเป็นคนเข้มแข็งมาก
> แต่ตอนนี้เธอได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของพ่อดังมาจากปลายสายอีกฝั่งหนึ่ง
> >
> >
> การที่เธอพูดขอบคุณซึ่งเป็นเพียงการกระทำภายนอก
> ทำให้พ่อผู้แข็งแกร่งถึงกับร้องไห้ออกมา
> >
> >
> เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของพ่อ
> เอโกะก็น้ำตาคลอ
> >
> >
> พ่อคงอยากให้ความรักกับฉันมากกว่านี้
> และคงอยากคุยกับฉันเหมือนอย่างพ่อลูกคู่อื่นๆ
> >
> >
> แต่ฉันก็ปฏิเสธความรักของพ่อมาตลอด
> >
> > พ่อคงเหงาสินะ
> >
> >
> พ่อที่เข้มแข็งอดทนไม่ว่าจะทำงานเหนื่อยยากแค่ไหน
> ตอนนี้กลับกำลังนั่งร้องไห้
> >
> >
> การที่ลูกไม่รับความรักของตัวเองเป็นเรื่องทุกข์ทรมานอย่างนี้นี่เอง
> >
> > เอโกะสะอื้นไห้
> >
> > ผ่านไปครู่ใหญ่
> เธอจึงได้ยินเสียงของแม่
> >
> > "เอโกะ!
> ใจเย็นลงหรือยัง
> ไหนเล่าให้แม่ฟังหน่อย"
> >
> > "แม่คะ
> ขอหนูคุยกับพ่อหน่อยค่ะ"
> >
> >
> แล้วเธอก็ได้ยินเสียงสั่นๆของพ่อ
> >
> > "เอโกะ พ่อขอโทษ
> พ่อไม่ดีเอง
> ทำให้ลูกต้องเจอแต่เรื่องแย่ๆ..."
> >
> >
> เธอได้ยินเสียงร่ำไห้ของพ่ออีกครั้ง
> >
> > "พ่อคะ หนูขอโทษ
> หนูเองก็เป็นลูกสาวที่แย่มาก
> แล้วก็ขอบคุณที่เลี้ยงหนูมานะคะ..."
> >
> >
> เสียงของเอโกะเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น
> >
> > หลายวินาทีผ่านไป
> เสียงของแม่ดังขึ้นมาอีกครั้ง
> >
> >
> "เกิดอะไรขึ้นเหรอลูก
> สงบอารมณ์ได้เมื่อไหร่ค่อยอธิบายให้แม่ฟังก็ได้จ้ะ
> ตอนนี้แค่นี้ก่อนแล้วกันนะ"
> >
> >
> แม้จะวางโทรศัพท์ไปแล้ว
> แต่เอโกะก็ยังทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่
> >
> > เธอเกลียดพ่อมาตลอด
> 20 ปี
> และไม่เคยให้อภัยพ่อเลย
> เธอคิดมาตลอดว่าผู้ได้รับผลกระทบคือเธอคนเดียวเท่านั้น
> >
> >
> เธอมองเพียงด้านเดียวไม่เคยคิดที่จะมองในมุมกลับกันเลย
> ความรักของพ่อ
> ความอ่อนแอของพ่อ
> ความไม่รู้ของพ่อ...เธอไม่เคยมองเห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อน
> พ่อทุกข์ใจมากแค่ไหนกันนะ
> เธอทำให้พ่อต้องทุกข์ทรมานมานานแค่ไหนแล้ว
> >
> >
> ความคิดต่างๆนานาแล่นเข้ามาในสมอง
> >
> >
> แล้วเธอก็เริ่มรู้สึกอยากขอบคุณพ่อจากใจจริง
> >
> >
> "เริ่มจากการกระทำภายนอกก่อนก็ได้
> เดี๋ยวความรู้สึกก็ตามมาเอง"
> ในที่สุดเธอก็เข้าใจคำพูดของคุณยางุจิ
> >
> >
> "อีกหนึ่งชั่วโมงยูตะก็จะกลับมาแล้วสินะ"
> >
> >
> ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังึ้น
> >
> >
> คนที่โทรศัพท์มาคือคุณยางุจิ
> >
> > "สวัสดีครับ
> ยางุจิครับ
> ตอนนี้ผมมีเวลาสักห้าสิบนาทีเลยโทร.มา
> เมื่อครู่ผมมีธุระเลยต้องวางสายไปทั้งๆที่ยังคุยค้างอยู่น่ะครับ"
> >
> >
> "ดิฉันโทร.ไปหาพ่อแล้วละค่ะ
> ดีจริงๆที่โทร.ไป
> ขอบคุณมากเลยนะคะ
> เพราะคุณยางุจิแท้ๆ"
> >
> >
> เอโกะเล่าเรื่องที่เธอคุยกับพ่อให้ฟังคร่าวๆ
> >
> >
> "อย่างนั้นเหรอครับ
> คุณตัดสินใจถูกต้องแล้วละครับที่แสดงความกล้าออกไป"
> >
> >
> "ดิฉันเคยคิดว่าปัญหาใหญ่ที่สุดคือการที่ยูตะถูกเพื่อนแกล้ง
> แต่จริงๆแล้วคือการที่ดิฉันไม่ให้อภัยพ่อมานานหลายปีต่างหาก
> ยูตะช่วยให้ดิฉันได้ปรับความเข้าใจกับพ่อ
> ปัญหาของยูตะก็มีส่วนดีเหมือนกันนะคะ"
> >
> >
> "คุณเริ่มจะมองเห็นด้านดีจากปัญหาความทุกข์ใจของยูตะแล้วสินะครับ
> >
> > มีกฎที่เรียกว่า
> 'กฎของสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น'
> ครับ
> เมื่อเราเริ่มเข้าใจถึงสิ่งหนึ่ง
> เราก็จะเข้าใจอีกสิ่งหนึ่งตามมา
> ที่จริงแล้ว
> ทุกปัญหาในชีวิตเกิดขึ้นเพื่อทำให้เราได้รู้ซึ้งถึงความสำคัญของบางสิ่ง
> หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ
> ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ
> แต่เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นต่างหาก
> > นั่นหมายความว่า
> ปัญหาที่เราแก้ไขด้วยตนเองไม่ได้จะไม่มีวันเกิดขึ้น
> เราแก้ไขได้ทุกปัญหาและถ้าพยายามอย่างเอาใจใส่
> มองโลกในแง่ดี
> เราก็จะนึกขอบคุณในภายหลังว่า
> 'ดีแล้วที่เกิดปัญหานั้นขึ้น
> เพราะนั่นทำให้ฉัน...'"
> >
> > "จริงด้วยค่ะ
> แต่ปัญหาของยูตะยังไม่หมดไป
> ดิฉันเลยยังกังวลอยู่ค่ะ"
> >
> >
> "คุณคิดว่ายังไม่ได้แก้ปัญหาเลยสินะครับ
> แต่ไม่แน่นะมันอาจจะกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ดีก็ได้
> เพราะความรู้สึกของทุกคนเชื่อมโยงถึงกันอยู่
> ถ้าแก้ไขที่ต้นเหตุได้แล้ว
> ผลลัพธ์ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป
> ถูกไหมครับ"
> >
> >
> "ปัญหาจะหมดไปจริงๆเหรอคะ"
> >
> >
> "ขึ้นอยู่กับคุณมากกว่า
> เอาละครับ
> ลองมาสรุปกันง่ายๆก่อน
> ความทุกข์ของคุณในตอนนี้ก็คือยูตะไม่ยอมเปิดใจให้
> คุณเลยรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหน
> เป็นแม่ที่ช่วยลูกไม่ได้
> และคุณก็ไม่อยากทุกข์ทรมานไปกว่านี้
> ใช่ไหมครับ"
> >
> > "ค่ะ ใช่ค่ะ
> ลูกไม่เคยปรึกษาอะไรกับดิฉันเลย
> ทั้งที่ดิฉันอยากยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
> แต่แกก็ปฏิเสธว่า
> 'อย่ามายุ่ง!'
> ยิ่งรู้ว่าลูกโดดเดี่ยว
> ดิฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหน
> ไม่มีอะไรน่าทุกข์ใจไปกว่าการช่วยเหลือลูกตัวเองไม่ได้หรอกค่ะ"
> >
> > "ครับ
> จริงด้วยครับ
> ทีนี้คุณคงเข้าใจแล้วสินะครับว่านั่นคือความทุกข์ใจของใคร"
> >
> > "เอ๊ะ
> ของใครเหรอคะ..."
> >
> >
> ตอนนั้นเองที่ใบหน้าของพ่อลอยขึ้นมา
> ใช่แล้ว!
> ความทุกข์ทรมานนี้เป็นสิ่งที่พ่อต้องทนมานานหลายปี
> >
> >
> ความทุกข์ที่ลูกสาวไม่ยอมเปิดใจให้
> ความทุกข์ที่ถูกลูกสาวเกลียดมาโดยตลอด
> ความทุกข์ที่ไม่สามารถช่วยเหลือลูกได้ในฐานะที่เป็นพ่อแม่...
> >
> >
> นั่นเป็นความทุกข์เดียวที่ฉันมีอยู่ในตอนนี้
> พ่อทนทุกข์ทรมานกับมันมานานกว่า
> 20 ปีเชียวหรือ
> >
> >
> น้ำตาไหลรินลงบนแก้มของเอโกะ
> >
> > "เข้าใจแล้วค่ะ
> ดิฉันได้รับรู้ถึงความทุกข์ที่พ่อเผชิญมาสินะคะ
> พ่อต้องทรมานมากถึงขนาดนี้นี่เอง
> ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ
> ว่าทำไมพ่อถึงร้องไห้คร่ำครวญอย่างนั้น"
> >
> >
> "ปัญหาในชีวิตเกิดขึ้นเพื่อให้เราได้รู้ซึ้งถึงสิ่งสำคัญครับ"
> >
> >
> "ดิฉันเข้าใจความทุกข์ใจของพ่อแล้วค่ะ
> เพราะยูตะแท้ๆ
> ดิฉันถึงได้คิด
> เป็นเพราะยูตะไม่ยอมเปิดใจให้ดิฉันนี่เอง..."
> >
> > "ทั้งลูกชาย
> คุณพ่อ
> และตัวคุณเองต่างมีความรู้สึกเชื่อมโยงกันอยู่ลึกๆ
> ยูตะเป็นเหมือนที่คุณเคยเป็น
> แล้วก็รู้สึกเหมือนที่คุณเคยรู้สึกครับ
> เหตุการณ์นี้เลยทำให้คุณได้คิด"
> >
> >
> "ดิฉันอยากขอบคุณยูตะค่ะ
> อยากบอกเขาว่า
> 'ขอบคุณที่ทำให้แม่รู้ซึ้งถึงสิ่งสำคัญ'
> ที่ผ่านมาดิฉันบ่นลูกอยู่ในใจเสมอว่า
> ไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเลย"
> >
> >
> "ตอนนี้คุณเข้าใจยูตะแล้วใช่ไหมครับ"
> >
> > "ใช่ค่ะ!
> ตอนเป็นเด็ก
> ดิฉันไม่ชอบพ่อที่จู้จี้ขี้บ่น
> ไม่ชอบให้พ่อมายุ่งวุ่นวาย
> คิดดูแล้ว
> นั่นคงเป็นการแสดงความรักของพ่อ
> แต่ตอนนั้นดิฉันกลับรู้สึกว่าน่ารำคาญ
> ตอนนี้ยูตะคงรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน
> ความรักที่ดิฉันพยายามหยิบยื่นให้กลับกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับยูตะไป"
> >
> >
> "จริงๆแล้วตอนเด็กๆคุณอยากให้พ่อเป็นยังไงครับ"
> >
> >
> "อยากให้พ่อไว้ใจดิฉันบ้างค่ะ
> อยากให้พ่อคิดว่า
> 'ถ้าเป็นเอโกะละก็ต้องทำได้แน่ๆ!'…ดิฉันเองก็คงไม่ไว้ใจยูตะละมังคะ
> คิดว่าถ้าไม่มีดิฉัน
> ลูกคงทำอะไรไม่ได้
> ก็เลยถามโน่นถามนี่กับแก...ดิฉันอยากไว้ใจลูกให้มากกว่านี้ค่ะ"
> >
> >
> >
> >
> "คุณเข้าใจความทุกข์ของพ่อและความทุกข์ของยูตะแล้วใช่ไหมครับ
> ถ้าอย่างนั้นเรากลับไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับสามีนะครับ
> คุณจำเรื่องที่คุยกันเมื่อเช้าได้ไหมครับ
> ที่ผมบอกว่า
> 'สาเหตุที่ทำให้ยูตะลูกชายคนสำคัญของคุณถูกเพื่อนแกล้งก็คือการที่คุณเกลียดคนใกล้ตัว'"
> >
> > "ค่ะ จำได้ค่ะ
> แล้วดิฉันก็บอกว่า
> ดิฉันไม่ได้เกลียดสามีแต่ก็ไม่ได้เคารพ"
> >
> >
> "ถ้าอย่างนั้นมีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณของสามีบ้างครับ
> ลองบอกผมได้ไหม"
> >
> >
> "ดิฉันมักคิดว่าสามีเป็นคนไม่มีการศึกษาหรือไม่ก็ไม่มีความคิด
> แม้แต่กับเรื่องของยูตะ
> ทั้งๆที่ดิฉันเป็นทุกข์มาก
> แต่เขากลับมองเรื่องนี้ในแง่ดีไปเสีย
> ถึงดิฉันจะบ่นให้เขาฟัง
> แต่ก็ไม่เคยปรึกษาเขาจริงๆจังๆ
> ไม่เคยคิดจะฟังความเห็นของเขาเลยค่ะ"
> >
> >
> ถึงตรงนี้เอโกะเริ่มคิดได้ว่า
> เธอมองสามีด้วยมุมมองที่คล้ายกับที่มองพ่อ
> >
> >
> "เหมือนกับที่ดิฉันมองพ่อของตัวเองเลยนะคะ"
> >
> > "ใช่แล้วครับ
> ส่วนใหญ่แล้ว
> ผู้หญิงมองพ่อของตัวเองอย่างไรก็จะมองสามีอย่างนั้น
> แต่เท่าที่ผมฟังมา
> ดูเหมือนสามีของคุณจะไว้ใจยูตะมากเลยนะครับ"
> >
> > "อ๊ะ จริงด้วยค่ะ!
> ดิฉันน่าจะเอาอย่างสามีนะคะ
> ดูยูตะจะเล่าเรื่องต่างๆให้พ่อเขาฟังเสมอ
> เป็นเพราะพ่อไว้ใจ
> ยูตะก็เลยเปิดใจกับพ่อ
> ดิฉันไม่เคยมองเห็นข้อดีนี้ของสามีเลยค่ะ"
> >
> > "เหรอครับ
> คุณคิดอย่างนั้นใช่ไหมครับ
> ทีนี้ผมจะให้การบ้านนะครับ
> จะทำหรือไม่คุณต้องลองตัดสินใจดู
> เมื่อตอนบ่ายผมให้คุณเขียน
> 'สิ่งที่ควรขอบคุณพ่อ'
> และ
> 'สิ่งที่อยากขอโทษพ่อ'
> ตอนนี้ผมอยากให้คุณเขียนเพิ่มลงไปให้มากที่สุดจะกี่แผ่นก็ได้ครับ
> >
> >
> "พอเสร็จก็นำกระดาษมาอีกแผ่นแล้วเขียนหัวข้อว่า
> 'ควรปฏิบัติตัวอย่างไรกับพ่อ'
> ไม่ใช่เขียนเพื่อสำนึกผิดที่ทำไม่ดีกับพ่อน่ะครับ
> แต่เพื่อให้คุณค้นพบแนวทางในการปฏิบัติตัวกับสามี
> >
> > "อีกอย่าง
> ตอนกลางคืน
> พอยูตะหลับสนิทแล้ว
> ขอให้คุณมองหน้าเขา
> และ กระซิบในใจว่า
> 'ขอบใจจ้ะ'
> ร้อยครั้ง
> ฟังแล้วอยากลองทำดูไหมครับ"
> >
> > "ค่ะ
> ดิฉันจะลองดู"
> >
> >
> >
> >
> หลังจากวางโทรศัพท์ได้ไม่นาน
> ยูตะก็กลับถึงบ้าน
> >
> >
> ยูตะกองกระเป๋าไว้ที่หน้าประตู
> หยิบถุงมือและลูกเบสบอลออกไปเล่นที่สวนสาธารณะเช่นเคย
> >
> >
> "เมื่อวานเพิ่งถูกเพื่อนไล่กลับมาแท้ๆ
> ยังจะไปสวนสาธารณะอีกหรอ"
> จิตใจของเอโกะเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
> >
> >
> เพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นกังวลมากไปกว่านี้
> เอโกะจึงมุ่งทำการบ้าน
> >
> >
> มีหลายสิ่งที่เธอคิดได้ว่าควรจะขอบคุณพ่อ
> >
> >
> >
> >
> "สิ่งที่ควรขอบคุณพ่อ"
> >
> > v
> พ่อเป็นคนงานคุมการก่อสร้าง
> ทำงานเหน็ดเหนื่อยเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
> >
> > v เมื่อตอนเป็นเด็ก
> ฉันมักเป็นไข้ตอนกลางคืน
> ทุกครั้งพ่อจะขับรถพาไปโรงพยาบาล
> (พ่อต้องทำงานใช้แรงงานในตอนกลางวัน
> เพราะฉะนั้น
> พ่อคงลำบากน่าดูที่ต้องนอนดึก)
> >
> > v เมื่อตอนเป็นเด็ก
> พ่อชอบพาไปทะเลและแม่น้ำ
> พ่อสอนให้ฉันว่ายน้ำเป็น
> >
> > v เมื่อตอนเป็นเด็ก
> ฉันชอบเมลอนมาก
> ทุกๆปีพอถึงวันเกิด
> พ่อจะซื้อเมลอนมาให้เป็นประจำ
> >
> > v เมื่อตอนเป็นเด็ก
> ฉันเคยถูกเด็กข้างบ้านแกล้ง
> พ่อจึงไปที่บ้านของเด็กคนนั้นเพื่อพูดคุยกับพ่อแม่ของเขา
> >
> > v
> ฉันเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเอกชน
> พ่อออกค่าเล่าเรียนให้โดยไม่บ่นสักคำ
> (สำหรับครอบครัวเราในตอนนั้นถือเป็นภาระอันหนักหน่วง)
> >
> > v ตอนที่ฉันได้งานทำ
> พ่อสั่งซูชิมากินที่บ้าน
> (เป็นซูชิที่หรูหราราคาแพงมาก
> แต่ฉันกลับพูดไปว่า
> "ไม่ชอบกินซูชิ"
> พ่อจึงหงอยไป)
> >
> > v
> พ่อเปิดบัญชีให้ลูกๆทุกคนพร้อมทั้งบอกว่า
> "เผื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน"
> และนำเงินฝากเข้าบัญชีให้แม้จะไม่มากก็ตาม
> (พ่อพยายามจะยื่นสมุดบัญชีนั้นให้ฉันในวันก่อนวันแต่งงาน
> แต่ฉันบอกว่า
> "ไม่อยากเดินถือไปถือมา
> โอนเข้าบัญชีให้ดีกว่า"
> และไม่ยอมรับไว้ในตอนนั้น)
> >
> >
> >
> >
> "สิ่งที่อยากขอโทษ"
> ผุดขึ้นมาในสมองของเธออย่างต่อเนื่อง
> หลังจากเขียน
> "สิ่งที่อยาก
> >
> > ขอบคุณ"
> >
> > เธอเขียน
> "สิ่งที่ควรขอบคุณ"
> และ
> "สิ่งที่อยากขอโทษ"
> พลางร้องไห้
> >
> >
> "พ่อรักฉันมากขนาดนี้เชียวเหรอ
> ถึงฉันจะดื้อแค่ไหน
> พ่อก็ยังรักฉันอยู่
> เพราะมัวแต่ถือทิฐิไม่ยอมให้อภัย
> ฉันเลยไม่เคยรับรู้ถึงความรักนี้
> และถึงแม้จะได้รับความรักจากพ่อมากแค่ไหน
> แต่ฉันก็ไม่เคยทำอะไรให้พ่อเลย
> จะตอบแทนคุณสักครั้งก็ไม่เคย"
> >
> > แล้วเธอก็คิดได้ว่า
> เธอไม่เคยให้เกียรติอาชีพของพ่อเลย
> >
> >
> เธอมองว่าคนงานคุมการก่อสร้างเป็นงานที่
> "ไร้สมบัติผู้ดี"
> หรือไม่ก็
> "ไม่ต้องใช้ความรู้"
> ทั้งๆที่ตัวเองได้เรียนจบมหาวิทยาลัยก็เพราะพ่อทำงานหาเงินอย่างหนัก
> เธอเพิ่งได้คิดเป็นครั้งแรกและเริ่มรู้สึกเคารพและขอบคุณอาชีพของพ่อ
> >
> >
> ตอนนี้เธอก็กำลังมองอาชีพของสามีว่า
> "ไม่ต้องใช้ความรู้"
> ความรู้สึกรังเกียจสามีว่า
> "ไม่มีการศึกษา"
> ก็เหมือนความรู้สึกที่เธอมีต่อพ่อ
> เพราะฉะนั้นเธอมีหลายเรื่องที่ต้องขอบคุณสามีอย่างแน่นอน
> >
> >
> >
> >
> เธอคิดเช่นนั้นพลางหยิบกระดาษขึ้นมาอีกแผ่นและเขียนหัวข้อว่า
> "ควรปฏิบัติตัวกับพ่ออย่างไร"
> >
> >
> ในหัวข้อนี้เธอเขียนได้โดยแทบไม่ต้องคิด
> >
> >
> >
> >
> "ควรปฏิบัติตัวกับพ่ออย่างไร"
> >
> > v
> ควรสำนึกในความรักของพ่อที่แฝงอยู่ในการกระทำและคำพูด
> ควรเข้าใจว่าไม่มีใครเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ
> ไม่ว่าตัวเราเองหรือพ่อ
> >
> > v ต้องขอบคุณต่อ
> "สิ่งที่พ่อทำเพื่อเรา"
> >
> > v
> ไม่ควรเป็นเพียงผู้รับความรัก
> แต่ควรเป็นผู้ให้ด้วย
> (ควรทำให้พ่อมีความสุข)
> >
> > v
> ถ้าไม่ชอบอะไรก็บอกไปตามตรงด้วยพื้นฐานแห่งความรัก
> เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีต่อกัน
> >
> >
> >
> >
> และนี่คือความคิดที่ควรจะมีต่อสามี
> >
> >
> สามีทำงานเพื่อนครอบครัว
> >
> >
> สามีเป็นคู่ชีวิตมาโดยตลอด
> >
> >
> ฉันลืมที่จะขอบคุณเขา
> >
> >
> นี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่ฉันเปิดใจมองเขา
> >
> >
> เหมือนกับที่ฉันได้ขอบคุณพ่อ
> >
> >
> วันนี้ฉันจะพูดขอบคุณเขา
> >
> >
> >
> >
> ระหว่างที่เธอกำลังคิดอะไรเพลินๆ
> ข้างนอกก็เริ่มมืดสลัวลง
> วันนี้ตั้งแต่เช้าเอโกะแทบไม่ได้ทำงานบ้านเลย
> >
> >
> เธอโทรศัพท์ไปคุยกับคุณยางุจิตอนประมาณเก้าโมงเช้า
> แล้ววันนี้ทั้งวันเธอก็วุ่นอยู่กับการสังเกตตัวเอง
> >
> > "แย่แล้ว
> ข้าวเย็นล่ะ"
> >
> >
> ตอนนั้นเองที่ยูตะกลับมา
> >
> > "แม่ฮะ
> ผมมีอะไรจะเล่าให้ฟัง!"
> >
> > "เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ
> มีเรื่องอะไรดีๆเหรอ"
> >
> >
> "แม่รู้จักไทคิใช่ไหมฮะ
> คือเมื่อวานนี้ที่สวนสาธารณะ
> ไทคิเขาเอาลูกบอลขว้างใส่ผมล่ะ"
> >
> > "เอ๊ะ อ้าว เหรอจ๊ะ
> ไทคิคนที่ชอบแกล้งลูกน่ะเหรอ"
> >
> >
> "เมื่อกี้ตอนผมกำลังจะกลับบ้าน
> ไทคิมาที่สวนสาธารณะ
> แล้วพูดกับผมว่า
> 'ขอโทษที่แกล้งนายนะ'"
> >
> > "เหรอจ๊ะ!"
> เอโกะพูด
> เธอรู้สึกเหมือนได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์
> 'เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ต้องเป็นผลจากการที่ฉันปรับความเข้าใจกับพ่อแน่ๆ'
> เธอรู้สึกเช่นนั้น
> >
> >
> เอโกะอยากคุยกับยูตะจึงตัดสินใจสั่งอาหารมากิน
> ระหว่างที่รอ
> เธอบอกกับยูตะว่า
> >
> >
> "แม่ขอโทษที่จู้จี้วุ่นวายกับลูกมาตลอดนะจ๊ะ
> จากนี้ไปแม่จะระวัง
> จะไม่ขี้บ่นแล้วละ
> ถ้ามีอะไรอยากให้แม่ช่วยก็บอกได้เลยนะ
> ไม่ต้องเกรงใจ
> แม่ไว้ใจลูกนะจ๊ะ"
> >
> >
> ยูตะหน้าบานด้วยความดีใจและตอบว่า
> "ฮะแม่ ขอบคุณฮะ"
> >
> >
> ความจริงแล้วยูตะก็อยากให้แม่ไว้ใจตัวเองอยู่เหมือนกัน
> >
> >
> "วันนี้แปลกจังแฮะ!
> ทำไมมีแต่เรื่องดีๆนะ"
> ยูตะพูดต่อ
> เอโกะรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที
> ต่อมาไม่นาน
> อาหารก็มาส่งที่บ้าน
> >
> >
> "แม่จะรอพ่อกลับมาก่อน
> ลูกกินไปเลยนะ"
> >
> > "อ้าว
> เกิดอะไรขึ้นฮะแม่
> ปกติแม่กินก่อนนี่นา"
> >
> >
> "วันนี้แม่อยากกินกับพ่อน่ะจ้ะ
> พ่อทำงานกลับมาคงเหนื่อย
> ให้กินข้าวเย็นชืดอยู่คนเดียว
> น่าสงสารออก"
> >
> >
> "ถ้าอย่างงั้นผมจะกินกับพ่อด้วย!
> กินด้วยกันสามคนน่าสนุกกว่านะฮะ"
> >
> > "ลูกมีน้ำใจจริงๆ
> เหมือนพ่อเปี๊ยบเลย"
> >
> > "แปลกอีกแล้ว
> ปกติแม่บอกว่าพ่อไม่มีสมบัติผู้ดีนี่นา"
> >
> > "นั่นสินะ
> แม่คิดผิดไปเองแหละ
> พ่อเป็นคนใจดี
> เข้มแข็ง...เป็นลูกผู้ชายตัวจริงเลยจ้ะ"
> >
> >
> "ถ้าไม่ตั้งใจเรียนก็จะหางานที่ดีกว่างานของพ่อไม่ได้ไม่ใช่เหรอครับ"
> >
> > "ขอโทษทีจ้ะ
> แม่คิดเรื่องนี้ผิดไปเหมือนกัน
> งานของพ่อเป็นงานที่ดีมาก
> เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ
> ถ้าพ่อไม่ตั้งใจทำงาน
> เราคงไม่มีข้าวกินอย่างนี้หรอกจ้ะ
> ต้องขอบคุณพ่อด้วยนะ"
> >
> >
> "แม่คิดอย่างนั้นจริงๆเหรอครับ"
> >
> > "จ้ะ จริงสิจ๊ะ"
> >
> >
> พอเอโกะพูดอย่างนั้น
> ยูตะก็ยิ้มดีใจอย่างที่สุด
> >
> >
> ลูกจะเดินตามรอยเท้าพ่อแม่โดยสัญชาตญาณ
> >
> >
> คำพูดของเอโกะเสมือนเป็นสัญญาณไฟเขียวให้ยูตะเคารพพ่อ
> ซึ่งทำให้ยูตะดีใจกว่าคำพูดอื่นใด
> >
> > ผ่านไปครู่ใหญ่
> สามีของเธอกลับมาบ้าน
> แล้วทั้งสามก็กินข้าวหน้าไก่ด้วยกัน
> >
> >
> อาจเป็นดีใจที่มีคนรอกินข้าว
> สามีของเธอจึงอารมร์ดี
> เขากินข้าวหน้าไก่เย็นชืดพลางพูดว่า
> "อร่อย อร่อย"
> ตลอดเวลา
> >
> >
> >
> >
> ระหว่างที่สามีของเธอกำลังอาบน้ำ
> ยูตะก็เข้านอน
> >
> > พอยูตะหลับสนิท
> เอโกะก็มองหน้าเขาและเริ่มกระซิบในใจว่า
> "ขอบใจจ้ะ"
> >
> >
> คำคำนั้นทำให้เธอรู้สึกขอบคุณลูกจากใจจริง
> >
> >
> "ฉันโทษลูกมาตลอดว่าทำให้ฉันต้องทุกข์ใจ
> แต่เพราะลูกฉันจึงได้รู้ซึ้งถึงสิ่งสำคัญ
> ความจริงแล้ว
> ลูกคือคนนำฉันไปในทางที่ดีต่างหาก"
> >
> > พอคิดเช่นนั้น
> เธอก็มองเห็นลูกเป็นเทวดาตัวน้อย
> >
> >
> แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
> วันนี้ช่างเป็นวันแห่งการร้องไห้จริงๆ
> >
> >
> เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
> มีโทรสารส่งมา
> >
> >
> ข้อความนั้นเป็นลายมือของแม่
> >
> >
> >
> > ถึงเอโกะ
> >
> >
> พ่อเล่าเรื่องวันนี้ให้แม่ฟังแล้ว
> >
> > พ่อเล่าไปร้องไห้ไป
> >
> >
> แม่เองก็ดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน
> >
> > พ่อบอกว่า
> "ตั้งแต่มีชีวิตอยู่มาเจ็ดสิบปี
> วันนี้เป็นวันที่ดีใจที่สุด"
> >
> >
> ปกติพ่อจะดื่มเหล้าไปด้วยตอนกินข้าวเย็น
> แต่วันนี้พ่อบอกว่า
> "เมาแล้วเดี๋ยวก็ไม่ได้ดีใจกันพอดี
> เสียดายน่ะ"
> พ่อก็เลยไม่ดื่ม
> >
> >
> จะกลับมาบ้านอีกเมื่อไหร่ล่ะ
> >
> > จะรอนะจ๊ะ
> >
> > แม่
> >
> >
> >
> >
> >
> >
> "พ่อที่ไม่เคยขาดเหล้าได้เลยแม้แต่วันเดียว
> ถึงขนาดไม่ดื่มเลยหรือ..."
> >
> >
> คำพูดที่ฉันบอกกับพ่อทำให้พ่อมีความสุขได้ถึงขนาดนั้นเชียว
> ที่ผ่านมาแม้จะป่วยแค่ไหนพ่อก็ไม่เคยหยุดดื่มเหล้า
> คงเพราะพ่ออยากลืมความเหงากระมัง

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

10 Tips for each day

Ten Great Tips For Each Day สิบแง่คิดดีๆสำหรับชีวิตประจำวัน


1. Stay out of trouble. จงหลีกห่างจากความยุ่งยาก เพราะถ้าตกลงไปแร้วมันขึ้นมาได้ยาก.



2. Aim for greater heights. มองเป้าหมายให้สูงๆหน่อย เผื่อเหนียวเอาไว้ พลาดไปเดี๋ยวเดือดร้อน




3. Stay focused on your job.ทำความชัดเจนในเป้าหมายของงานที่ทำ ผิดเป้าหมายแล้วจะเหนื่อย



4. Exercise to maintain good health.ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพ เพราะไม่มีใครช่วยเราได้



5. Practice team work. ต้องเล่นกันเป็นทีม เพื่อเสริมพลัง



6. Rely on your trusted partner to watch your back. Take your time trusting others. ให้เพื่อนร่วมงานที่ดีคอยช่วยสังเกตุงานเราและเราก็แบ่งเวลาไปช่วยเพื่อนด้วย



7. Save for rainy days. ใช้ทรัพยากรเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ด้วยในยามฉุกเฉิน



8. Rest and relax. มีเวลาหยุดพักผ่อนและบันเทิงบ้าง ให้รางวัลกับตัวเอง



9. Always take time to smile. ยิ้มเสมอในทุกสถานะการณ์ เดี๋ยวดีเอง



AND และ

10. Realize that nothing is impossible. รู้ไว้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้



This should make you smile: และนี่จะทำให้คุณยิ้มออก...



THE SENILITY PRAYER : Grant me the senility to forget the people I never liked anyway, the good fortune to run into the ones I do, and the eyesight to t! ell the difference.
คำ อธิษฐานของผู้อาวุโส : ให้ฉันชราลงเถอะ ฉันจะได้จำคนที่ฉันไม่ชอบไม่ได้ เป็นโชคดีของฉันแล้วที่ผ่านวัยมาจนวันนี้และได้เห็นความเปลี่ยนแปลงแห่ง ชีวิต

Always Remember: จำไว้เสมอว่า:
You don't stop laughing because you grow old, you grow old because you stop laughing!!!
คุณไม่หยุดหัวเราะเพราะคุณแก่ขึ้น แต่คุณแก่ลงเพราะคุณหยุดหัวเราะ ฮาฮา

คติในชีวิต ที่ดีมากสำหรับทุกคน‏

ฟ้ามิได้แบ่ง 'ยอดคน' กับ 'คนธรรมดา' ออกจากกัน

ยอดคนจะปรากฏขึ้นเสมอ แต่นั้นมิใช่เพราะ 'ฟ้ากำหนด'

การที่ "ยอดคน"ปรากฏขึ้นได้ เพราะ เขาผ่านการ "ฝึกฝน" และ "เรียนรู้" ที่จะเป็นยอดคน

................................................................

"อัจฉริยะ" ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

แต่เป็นสิ่งที่ ถูกสร้างขึ้นมา ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด

คนเก่งได้นั้นต้องได้รับการฝึกฝน ม้าดี ต้องมีคนขี่มาฝึกฝน ..

นักกีฬาที่ดีต้องมีโค้ชที่ดีมาฝึกฝน

.......................................................

Don't Look Down Yourself.

อดีตไม่สำคัญว่าเราเป็นใคร สำคัญที่ว่าวันนี้เราต้องการเป็นใคร
จงเคารพนับถือในความสามารถของตัวเอง ยกย่องและให้เกียรติ ตัวเอง

.............................................................

สมองของคนเราเหมือนพื้นดินที่ว่างเปล่า

เมื่อเราปลูกอะไรลงไปเราก็จะได้ผลเป็นอย่างนั้น .. จงปลูกฝังแต่สิ่งดีๆ

ลงไปในสมองคำพูดใดๆ ที่เราเคยได้ยินซ้ำๆ ซากๆ เกิน 37 ครั้ง

มันจะกลายเป็น "อุปนิสัย" ของเราทันที

..............................................................


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือ "สิ่งแวดล้อม"

อย่าปล่อยให้ความคิด หรือคำพูดของคนบางคน มาตัดสินชีวิตของเรา

ในโลกนี้ไม่มีใครมีอิทธิพลกับตัวเรา นอกจากตัวเราเอง

..............................................................

ชีวิตไม่ใช่เกมส์กีฬา ไม่มีเวลาพักครึ่ง ไม่มีการขอเวลานอก

และที่สำคัญคือ 'เปลี่ยนตัวผู้เล่นไม่ได้' ไม่มีใครเกิดมา 'ล้มเหลว' มีแต่ 'ล้มเลิก'

.........................................

คนฉลาด.. ต้องโง่เป็น คนโง่ไม่เป็น..จะไม่มีทางฉลาด

.........................................

เพียงคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็ทำได้ตั้งแต่ที่คุณคิด

แต่หากคุณคิดว่าคุณทำไม่ได้ คุณก็ทำไม่ได้ตั้งแต่ที่คุณคิด

สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์

คือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ 'ทางจิต' ที่ ตอกย้ำตัวเองว่า .. ทำไม่ได้

.........................................

แม้แต่ "คิด" ยังไม่กล้าที่จะคิด แล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?

จงกล้าที่จะเผชิญความล้มเหลว.. ความล้มเหลวคือครูที่ทดสอบตัวเรา

If you want to have success, you have no choice.

.......................................................................

มนุษย์ คือจุดศูนย์กลางของเส้นรอบวงที่ไม่มีขีดจำกัด …...

ทำไมมนุษย์เหมือนกันจึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน

นั่นเป็นเพราะ มนุษย์แต่ละคนได้รับโอกาสทางความคิดที่แตกต่างกัน

................................................................

คนสำเร็จมองปัญหาเป็นโอกาส คนล้มเหลวมองโอกาสเป็นปัญหา

คนสำเร็จจะปรับตัวเองไปหาโลกภายนอก

คนล้มเหลว จะให้โลกภายนอกปรับเข้าหาตัวเอง

Team work is less 'E-GO' and more 'WE GROW'
.................................................................

คนสำเร็จระดับผู้บริหาร เป็นผู้นำขององค์กรต่างๆ ในโลกนี้ กว่า 85%ทั่วโลก

ล้วนแล้วแต่มิใช่คนเก่ง แต่เป็นคนดีทั้งสิ้น

คนเก่ง.. มักจะมี 'อัตตา'

จะไม่ยอมปรับตัวเข้าหาโลก ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น

ไม่ยอมรับการพัฒนา..ความรู้ และสิ่งใหม่ๆ 'ปกครองคนไม่ได้'

คนเก่งนั้น..ใช้เวลา 2-3 ปี ก็สอนให้เก่งได้ ..

แต่.. คนดีต้องใช้เวลา 'ชั่วชีวิต' สอนกัน

คนเก่งมักจะขาดความจงรักภักดี ไม่มีความกตัญญู

......................................................................

"ความรู้" เป็นเพียง "พลังอำนาจแฝง" ชนิดหนึ่งเท่านั้น

"ความรู้" จะกลายเป็น "พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่" ได้ก็ต่อเมื่อ

มันถูกนำ ไปใช้อย่างชาญฉลาดเท่านั้น
..........................................................................

ฟัง..แต่..ไม่ได้ยิน ได้ยิน..แต่..ไม่เข้าใจ เข้าใจ..แต่..ไม่ลึกซึ้ง

ลึกซึ้ง..แต่..ไม่แตกฉาน แตกฉาน..แต่..นำไปใช้ไม่เป็น !!!

จงนำศักยภาพ และอัจฉริยภาพ ที่ซ่อนเร้นในตัวเรา มาใช้อย่างชาญฉลาด ...

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตนกอินทรี












A blind boy



เด็กตาบอดคนหนึ่งนั่งที่ขั้นบันไดของตึกโดยมีหมวกวางหงายไว้ข้างๆ
มีป้ายเขียนไว่ข้างตัวว่าผมตาบอด กรุณาช่วยด้วย
มีเหรียญเพียงสองสามอันในหมวก



ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เขาหยิบเงินสองสามเหรียญจากกระเป๋าแล้วหย่อนลงในหมวก เขาหยิบป้ายข้างเด็กตาบอดมาเขียนที่ด้านหลัง แล้ววางลงที่เดิมเพื่อให้คนเดินผ่านได้เห็นข้อความใหม่บนป้าย

ใน ไม่ช้า...หมวกก็เต็ม ผู้คนมากมายให้เงินแก่เด็กตาบอด บ่ายวันนั้นชายที่เขียนป้ายให้ใหม่กลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กชายจำเสียงฝีเท้าเขาได้ก็ถามขึ้นว่า
คุณใช่คนที่เขียนป้ายให้ผมใหม่เมื่อเช้าใช่ไหมครับ
คุณเขียนว่าอะไรครับ



ชายคนนั้นพูดว่าฉันแค่เขียนความจริง ฉันเขียนสิ่งที่เธอพูดแต่เขียนด้วยคำพูดที่แตกต่าง

ฉันเขียนว่า วันนี้ช่างเป็นวันที่สวยงาม แต่ผมไม่สามารถชื่นชมมันได้

ทั้ง สองข้อความบอกกล่าวผู้คนว่าเด็กชายนั้นตาบอด ทว่าข้อความแรกเพียงบอกธรรมดาว่าเด็กชายตาบอด ในขณะที่ข้อความหลังบอกผู้คนว่าพวกเขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ตาไม่บอด แปลกใจไหมที่ข้อความหลังให้ผลดีกว่า



ข้อสอนใจจากเรื่องนี้

จงขอบคุณในสิ่งที่คุณมี ขอให้มีความคิดสร้างสรรค์ ปฏิรูปจิตใจของคุณ และคิดแตกต่างในแง่บวก

ยาม เมื่อชีวิตมีเหตุผลเป็นร้อยให้คุณอยากร้องไห้ จงทำให้ชีวิตดูว่ามีเหตุผลเป็นพันให้คุณยิ้มได้ เผชิญหน้ากับอดีตโดยไม่สลดใจ จัดการกับปัจจุบันอย่างมั่นใจ เตรียมการเพื่ออนาคตโดยไม่หวาดกลัว มีศรัทธาและโยนความหวาดหวั่นทิ้งไป

สิ่งที่งดงามที่สุดคือการได้เห็นคนยิ้มแย้ม และยิ่งงดงามกว่านั้นที่ได้รู้ว่าเราเป็นผู้อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น