ในวันหนึ่ง ๆ เรามักมีอารมณ์แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา... และ 1 ปี ที่ผ่านมา ก็มีเรื่องราวมากมายเข้ามาทักทายชีวิตให้ได้รับรู้ถึงรสชาติของความสุข รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และคราบน้ำตา โดยบ่อยครั้งเราได้รับรู้เรื่องราวของบุคคลที่เป็นเหมือนแรงขับเคลื่อนของ พลังใจ แม้ว่าจะไม่เคยรู้จักพวกเขาเหล่านั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเส้นทางชีวิตของพวกเขาล้วนสร้างความประทับใจ และก่อกำเนิดมุมคิดดี ๆ อยู่เสมอ และวันนี้กระปุกดอทคอม จึงขอรวบรวมเรื่องราวของบุคคลเหล่านั้น มานำเสนอส่งท้ายปี 2010 กันอีกครั้งค่ะ
อภิรักต์ แซ่ฮ้อ
อภิรักต์ แซ่ฮ้อ : คนจนผู้ยิ่งใหญ่อภิรักต์ แซ่ฮ้อ
ผู้คนเกือบทั้งประเทศได้อมยิ้มกับความน่ารัก ซื่อ ๆ ของเขาผ่านทางรายการ ตีสิบ หนุ่มคนนี้อาจเป็นคนธรรมดา ๆ ที่แทบไม่มีความน่าสนใจในตัวเองเลย ด้วยภาพลักษณ์ของคนเก็บขยะ แต่งตัวมอซอ หาเช้ากินค่ำ มีชีวิตซ้ำ ๆ ในรูปแบบเดิม ๆ ทุกวัน หากแต่ชีวิตของเขากลับมีเรื่องราวมากกว่าที่มองเห็น
อภิรักต์ ดำเนินอาชีพเก็บขยะของเขามามากกว่า 16 ปีแล้ว เช่นเดียวกับการที่เขาแบ่งเงิน 20 บาท จากรายได้ต่อวันประมาณ 50-100 บาท นำไปฝากธนาคาร เพื่อสะสมทีละเล็กทีละน้อย เป็นค่าผ่าตัดหัวใจให้กับแม่ที่ป่วยเป็นโรคหลายโรค ทั้งความดัน เบาหวาน เก๊า และโรคหัวใจ
จากความมุมานะของ อภิรักต์ ในการเข็นรถขยะหาเงินทุกบาททุกสตางค์ให้แม่ ทำให้เขาได้รับความรักจากสังคม และได้รับการคัดเลือกเป็นลูกกตัญญู ประจำปี 2553 นอกจากนี้ อภิรักต์ กำลังจะมีผลงานการแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกของชีวิต ในเรื่อง "ยายสั่งมาใหญ่" จากผลงานการกำกับของ นุ้ย เชิญยิ้ม อีกด้วย
หวานแห่งปี!! สาวบุกราบ 11 ทวงสัญญาแต่งงาน
ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ สำหรับเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ที่ตกลงกันว่าจะเข้าพิธีแต่งงาน เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2553 แต่ด้วยภาระหน้าที่ของแฟนหนุ่ม ส.อ.ณัฐพงษ์ ชินวงศ์ เพิ่งกลับจากการปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และต้องมารับมือกับการชุมนุมคนเสื้อแดงกลางกรุงเทพฯ ทำให้ว่าที่เจ้าสาวหวั่นใจว่า งานแต่งงานของพวกเขาอาจไม่เกิดขึ้นในกำหนดวันและเวลาเดิมได้
ด้วยเหตุนี้ คุณกาญจนา ศรีสวยสกุล จึงตัดสินใจติดต่อไปยังรายการ "ศึกน้ำผึ้งพระจันทร์" และทางทีมงานก็ช่วยให้เกิดภาพความประทับใจขึ้น ณ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์(ร.11 รอ.) ท่ามกลางสักขีพยาน เป็นผู้บังคับบัญชา และเพื่อนทหารกว่า 700 นาย ก่อนที่ทั้งคู่จะจูงมือกันเข้าสู่ประตูวิวาห์ตามกำหนด หลังจากที่พาความรักเดินทางด้วยกันมา 9 ปี และทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเสมอต้นเสมอปลายไม่เปลี่ยนแปลง
มาร์ค สุดยอดเด็กกตัญญู
มาร์ค - ปาน สุดยอดเด็กกตัญญู
สองเด็กหญิง-ชายต่างครอบครัวในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ชีวิตของพวกเขาไม่ได้สนุกสนานอย่างเพื่อนในวัยเดียวกัน แต่กลับมีความเด่นชัดในความกตัญญูอย่างยากที่จะเห็นได้ในสังคมเมืองปัจจุบัน
ในทุก ๆ วันของ มาร์ค สรวิศ ไชยสัจ เด็กหนุ่มวัย 14 ปี แห่งบ้านดงพลอง อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา เขาต้องทำหน้าที่เป็นพยาบาลคอยดูแลป้อนอาหารให้ ปู่ ที่ล้มป่วยด้วยโรคอัมพฤกษ์ และทำหน้าที่เป็นหมอคอยฉีดอินซูลินให้ ย่า ป่วยโรคเบาหวานขั้นรุนแรง ส่วนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ที่ว่างเว้นจากการเรียนหนังสือและดูแลปู่กับย่า เด็กชายคนนี้จะไปรับจ้างทำงานร้านเชื่อมเหล็ก เพื่อแลกเงินวันละ 140 บาท มาประทัง 3 ชีวิตให้อยู่รอด ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกเหนื่อย มาร์ค จะบอกตัวเองเสมอว่า ปู่และย่า ที่เขาเรียกว่า พ่อและแม่ ยังดูแลเขามาตั้งแต่เล็กได้ ดังนั้น นี่คือเวลาที่ต้องตอบแทนบุญคุณพวกท่านบ้าง
ขณะที่ น้องปาน - ณมล เทพโสภา เด็กหญิงวัย 12 ปี ใน อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ เธอต้องทำหน้าที่เป็นพยาบาลตัวน้อย คอยเฝ้าดูแลพ่อที่ล้มป่วยอัมพาตมาตั้งแต่เธออายุได้เพียง 6 ขวบ หลังจากผู้เป็นแม่ทิ้งเธอไปขณะที่พ่อของปานเริ่มป่วย ทำให้ ปาน ต้องเป็นผู้จัดการดูแลทุกอย่างในบ้าน เป็นทั้งแม่บ้าน เป็นพยาบาล และหากมีเวลาว่าง ปาน ก็จะช่วยพ่อทำเปล หารายได้เสริม ซึ่งแม้ว่าภาระที่เด็กหญิงคนนี้ต้องทำทุก ๆ วัน จะหนักหนาสาหัสเพียงใด แต่เธอก็ไม่เคยปริปากบ่น ทั้งยังบอกด้วยว่า "เป็นบุญของเธอที่ได้เกิดเป็นลูกของพ่อ"
สองเด็กหญิง-ชายต่างครอบครัวในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ชีวิตของพวกเขาไม่ได้สนุกสนานอย่างเพื่อนในวัยเดียวกัน แต่กลับมีความเด่นชัดในความกตัญญูอย่างยากที่จะเห็นได้ในสังคมเมืองปัจจุบัน
ในทุก ๆ วันของ มาร์ค สรวิศ ไชยสัจ เด็กหนุ่มวัย 14 ปี แห่งบ้านดงพลอง อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา เขาต้องทำหน้าที่เป็นพยาบาลคอยดูแลป้อนอาหารให้ ปู่ ที่ล้มป่วยด้วยโรคอัมพฤกษ์ และทำหน้าที่เป็นหมอคอยฉีดอินซูลินให้ ย่า ป่วยโรคเบาหวานขั้นรุนแรง ส่วนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ที่ว่างเว้นจากการเรียนหนังสือและดูแลปู่กับย่า เด็กชายคนนี้จะไปรับจ้างทำงานร้านเชื่อมเหล็ก เพื่อแลกเงินวันละ 140 บาท มาประทัง 3 ชีวิตให้อยู่รอด ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกเหนื่อย มาร์ค จะบอกตัวเองเสมอว่า ปู่และย่า ที่เขาเรียกว่า พ่อและแม่ ยังดูแลเขามาตั้งแต่เล็กได้ ดังนั้น นี่คือเวลาที่ต้องตอบแทนบุญคุณพวกท่านบ้าง
ขณะที่ น้องปาน - ณมล เทพโสภา เด็กหญิงวัย 12 ปี ใน อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ เธอต้องทำหน้าที่เป็นพยาบาลตัวน้อย คอยเฝ้าดูแลพ่อที่ล้มป่วยอัมพาตมาตั้งแต่เธออายุได้เพียง 6 ขวบ หลังจากผู้เป็นแม่ทิ้งเธอไปขณะที่พ่อของปานเริ่มป่วย ทำให้ ปาน ต้องเป็นผู้จัดการดูแลทุกอย่างในบ้าน เป็นทั้งแม่บ้าน เป็นพยาบาล และหากมีเวลาว่าง ปาน ก็จะช่วยพ่อทำเปล หารายได้เสริม ซึ่งแม้ว่าภาระที่เด็กหญิงคนนี้ต้องทำทุก ๆ วัน จะหนักหนาสาหัสเพียงใด แต่เธอก็ไม่เคยปริปากบ่น ทั้งยังบอกด้วยว่า "เป็นบุญของเธอที่ได้เกิดเป็นลูกของพ่อ"
ต้อม เด็กชายยอดกตัญญู ดูแลแม่ป่วยเอดส์
ต้อม เด็กชายยอดกตัญญู ดูแลแม่ป่วยเอดส์
เด็กที่ไม่ได้เติบโตในครอบครัวพร้อมหน้า พ่อ-แม่-ลูก ย่อมใฝ่ฝันถึงวันที่จะได้อยู่กับพ่อหรือแม่ของเขาบ้าง เช่นเดียวกับ ต้อม เด็กชายแห่ง อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย พ่อแม่ของเขาแยกทางกันตั้งแต่อายุได้เพียง 6 ขวบ ต้อมเคยยินดีที่แม่กลับมาหาบ้าง แม้จะเติมเต็มความทรงจำและความผูกพันระหว่างต้อมกับแม่ได้ไม่มากนัก ทว่าเมื่อแม่กลับมาอยู่กับเขาอย่างถาวร กลับเป็นการเปลี่ยนชีวิตของ "ต้อม" ไปอย่างสิ้นเชิง
แม่ของต้อม ในวัย 33 ปี กลับมาด้วยสภาพคนป่วยโรคเอดส์ระยะสุดท้าย ร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับเขยื้อนแขนขาด้วยตัวเอง และทานได้เพียงน้ำเพียงเล็กน้อยต่อวันเท่านั้น ทำให้ ต้อม ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว ต้องทิ้งชีวิตแบบเดิมที่เคยเล่นสนุกกับเพื่อน ๆ มารับภาระอันหนักอึ้งในการดูแลแม่ แม้ว่าเขาจะต้องร้องไห้กับโชคชะตาชีวิตมากสักเพียงใด แต่ก็ไม่เคยคิดทิ้งหน้าที่ของลูกที่ดีเลย
เด็กที่ไม่ได้เติบโตในครอบครัวพร้อมหน้า พ่อ-แม่-ลูก ย่อมใฝ่ฝันถึงวันที่จะได้อยู่กับพ่อหรือแม่ของเขาบ้าง เช่นเดียวกับ ต้อม เด็กชายแห่ง อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย พ่อแม่ของเขาแยกทางกันตั้งแต่อายุได้เพียง 6 ขวบ ต้อมเคยยินดีที่แม่กลับมาหาบ้าง แม้จะเติมเต็มความทรงจำและความผูกพันระหว่างต้อมกับแม่ได้ไม่มากนัก ทว่าเมื่อแม่กลับมาอยู่กับเขาอย่างถาวร กลับเป็นการเปลี่ยนชีวิตของ "ต้อม" ไปอย่างสิ้นเชิง
แม่ของต้อม ในวัย 33 ปี กลับมาด้วยสภาพคนป่วยโรคเอดส์ระยะสุดท้าย ร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับเขยื้อนแขนขาด้วยตัวเอง และทานได้เพียงน้ำเพียงเล็กน้อยต่อวันเท่านั้น ทำให้ ต้อม ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว ต้องทิ้งชีวิตแบบเดิมที่เคยเล่นสนุกกับเพื่อน ๆ มารับภาระอันหนักอึ้งในการดูแลแม่ แม้ว่าเขาจะต้องร้องไห้กับโชคชะตาชีวิตมากสักเพียงใด แต่ก็ไม่เคยคิดทิ้งหน้าที่ของลูกที่ดีเลย
น้องวิว เด็กหญิงที่เติบโตในโลกเงียบ
น้องวิว เด็กหญิงที่เติบโตในโลกเงียบ
โลกเงียบของน้องวิว ไม่ได้หมายความว่า เธอหูหนวกหรือเป็นใบ้ หากแต่เด็กหญิงคนนี้ต้องเติบโตขึ้นมาภายในห้องเช่าสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แคบ ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดแพร่ โดยที่แทบจะไม่เคยเห็นโลกภายนอกว่าเป็นไปอย่างไร ไม่เคยรู้จักผู้คนที่นอกเหนือจากพ่อแม่ของตัวเอง ไม่เคยมีเพื่อน ไม่ได้รับการศึกษา...โลกของเธอไม่สดใสอย่างที่ควรจะเป็น
เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว นับตั้งแต่น้องวิวอายุได้เพียง 2 ขวบ เธอถูกขังไว้ในห้องขณะที่พ่อและแม่ออกไปทำงานหาเงิน โดยมีตุ๊กตาเพียงตัวเดียวเป็นเพื่อนคนสำคัญ ครั้นเมื่อโตพอจะช่วยเหลือตัวเองได้ น้องวิว ก็มีกิจกรรมคลายเหงาอย่างการซักผ้า ล้างจาน และทำงานบ้านอื่น ๆ
รายได้วันละ 100 บาท จากอาชีพแม่บ้านของแม่ ผู้ซึ่งไม่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ รวมถึงสติปัญญา รวมกับอีก 200 บาท อันได้จากการใช้แรงงานของพ่อ ซึ่งเป็นรายได้ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ทำให้น้องวิวได้รับรสชาติอาหารชั้นดีอย่าง "ไข่เจียว" ไม่บ่อยนัก แต่ภายหลังจากที่เรื่องราวของครอบครัวนี้ถูกนำเสนอผ่านรายการคนค้นฅน ก็มีคนจำนวนมากแสดงความประสงค์เข้าช่วยเหลือ ...นั่นแสดงให้เห็นว่า น้ำใจคนไทย ยังคงสวยงาม และอาจช่วยพลิกชะตาชีวิตของเด็กผู้หญิงคนนี้
โลกเงียบของน้องวิว ไม่ได้หมายความว่า เธอหูหนวกหรือเป็นใบ้ หากแต่เด็กหญิงคนนี้ต้องเติบโตขึ้นมาภายในห้องเช่าสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แคบ ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดแพร่ โดยที่แทบจะไม่เคยเห็นโลกภายนอกว่าเป็นไปอย่างไร ไม่เคยรู้จักผู้คนที่นอกเหนือจากพ่อแม่ของตัวเอง ไม่เคยมีเพื่อน ไม่ได้รับการศึกษา...โลกของเธอไม่สดใสอย่างที่ควรจะเป็น
เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว นับตั้งแต่น้องวิวอายุได้เพียง 2 ขวบ เธอถูกขังไว้ในห้องขณะที่พ่อและแม่ออกไปทำงานหาเงิน โดยมีตุ๊กตาเพียงตัวเดียวเป็นเพื่อนคนสำคัญ ครั้นเมื่อโตพอจะช่วยเหลือตัวเองได้ น้องวิว ก็มีกิจกรรมคลายเหงาอย่างการซักผ้า ล้างจาน และทำงานบ้านอื่น ๆ
รายได้วันละ 100 บาท จากอาชีพแม่บ้านของแม่ ผู้ซึ่งไม่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ รวมถึงสติปัญญา รวมกับอีก 200 บาท อันได้จากการใช้แรงงานของพ่อ ซึ่งเป็นรายได้ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ทำให้น้องวิวได้รับรสชาติอาหารชั้นดีอย่าง "ไข่เจียว" ไม่บ่อยนัก แต่ภายหลังจากที่เรื่องราวของครอบครัวนี้ถูกนำเสนอผ่านรายการคนค้นฅน ก็มีคนจำนวนมากแสดงความประสงค์เข้าช่วยเหลือ ...นั่นแสดงให้เห็นว่า น้ำใจคนไทย ยังคงสวยงาม และอาจช่วยพลิกชะตาชีวิตของเด็กผู้หญิงคนนี้
น้องกัน - น้องกี้ ผู้ป่วยโรคพันธุกรรมบกพร่อง
กัน และกี้ เด็กชายสองพี่น้องจาก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี พวกเขาป่วยด้วยโรคพันธุกรรมบกพร่อง หรือ โรคพันธุกรรมเมตาบอลิก ซึ่งเป็นความผิดพลาดตั้งแต่กำเนิด และไม่มีทางรักษาให้หายได้ นอกจากต้องรอช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต พวกเขาสองพี่น้องดูจะเข้าใจกับโรคที่กำลังรุมเร้า โดยเฉพาะ กัน เด็กชายผู้พี่วัย 18 ปี ที่ยอมรับกับสภาพของตัวเอง และเฝ้ารอวันสุดท้ายของชีวิตอยู่ทุกลมหายใจ
ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ว่า กัน จะไม่เคยฟูมฟายกับอาการป่วยของตัวเอง เขารับไม่ได้อยู่เป็นปี จากที่เคยเดินเหินได้ปกติ มีวัยเด็กอันสนุกสนานกับน้องกี้และเพื่อน ๆ แต่เมื่ออาการป่วยเริ่มสำแดงฤทธิ์จนเขาไม่สามารถเดินหรือขยับร่างกายของตัว เองได้อีกต่อไปแล้ว วิทยุและซีดีธรรมะจึงกลายเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสงบให้กับชีวิตที่ รุ่มร้อนทั้งกายใจ
กระทั่งวาระสุดท้ายมาถึง น้องกัน ได้ไปร่วมงานเปิดมูลนิธิช่วยเด็กป่วยโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก ที่เจ้าตัวปรารถนาตั้งขึ้น ก่อนจะอาการทรุดหนักและจากไปในวันที่ 4 พฤษภาคม 2553 ซึ่งผู้เป็นแม่บอกว่า ขอให้น้องกันไปดี ไปในที่ที่ปรารถนาอย่างที่เขาพูดเสมอว่า อยากไปเกิดใหม่เป็นคนที่มีร่างกายสมบูรณ์ ขณะที่ น้องกี้ น้องชายวัย 13 ปี กล่าวทั้งน้ำตาว่า... "พี่กัน ตายไปแล้วขึ้นสวรรค์ หายามารักษากี้ให้หายด้วยนะ"
จะเห็นได้ว่า...ท่ามกลางความทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้ครอบครัวนี้เรียนรู้ที่จะค้นหาความสุขบนโลกใบนี้ภายใต้เงื่อนไขที่มี อยู่จำกัด
ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ว่า กัน จะไม่เคยฟูมฟายกับอาการป่วยของตัวเอง เขารับไม่ได้อยู่เป็นปี จากที่เคยเดินเหินได้ปกติ มีวัยเด็กอันสนุกสนานกับน้องกี้และเพื่อน ๆ แต่เมื่ออาการป่วยเริ่มสำแดงฤทธิ์จนเขาไม่สามารถเดินหรือขยับร่างกายของตัว เองได้อีกต่อไปแล้ว วิทยุและซีดีธรรมะจึงกลายเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสงบให้กับชีวิตที่ รุ่มร้อนทั้งกายใจ
กระทั่งวาระสุดท้ายมาถึง น้องกัน ได้ไปร่วมงานเปิดมูลนิธิช่วยเด็กป่วยโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก ที่เจ้าตัวปรารถนาตั้งขึ้น ก่อนจะอาการทรุดหนักและจากไปในวันที่ 4 พฤษภาคม 2553 ซึ่งผู้เป็นแม่บอกว่า ขอให้น้องกันไปดี ไปในที่ที่ปรารถนาอย่างที่เขาพูดเสมอว่า อยากไปเกิดใหม่เป็นคนที่มีร่างกายสมบูรณ์ ขณะที่ น้องกี้ น้องชายวัย 13 ปี กล่าวทั้งน้ำตาว่า... "พี่กัน ตายไปแล้วขึ้นสวรรค์ หายามารักษากี้ให้หายด้วยนะ"
จะเห็นได้ว่า...ท่ามกลางความทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้ครอบครัวนี้เรียนรู้ที่จะค้นหาความสุขบนโลกใบนี้ภายใต้เงื่อนไขที่มี อยู่จำกัด
น้องโมเน่ต์
เรื่องราวของหนูน้อยผู้โชคร้าย เกิดมาไม่มีแขนทั้ง 2 ข้าง ถูกบอกเล่าโดยผู้เป็นพ่อผ่านทางเว็บไซต์ pantip.com เขาและภรรยาไม่คาดคิดเลยว่า ลูกน้อยในครรภ์ที่ไม่เคยแสดงอาการผิดปกติใด ๆ จะคลอดออกมาด้วยน้ำหนักเพียง 1,500 กรัม และถูกส่งตัวเข้าห้องไอซียูทันทีพร้อมเครื่องช่วยหายใจ ก่อนจะได้รับคำตอบว่า น้องโมเน่ต์ เป็นโรค CDLS (Cornelia de Lange Syndrome) ซึ่งเกิดจากการจับคู่ผิดของโครโมโซม ทำให้เด็กหยุดการเจริญเติบโตในท้องมารดา หลังจาก 6 เดือนไปแล้ว โดยเด็กที่เกิดมาจะมีอาการปัญญาอ่อน เจริญเติบโตช้า และอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียง 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาวะแทรกซ้อน ซึ่งโรคนี้มีโอกาสพบได้ 1 ต่อ 10,000-30,000 คนเท่านั้น
แม้จะเป็นความจริงที่แสนเจ็บปวด แต่ผู้เป็นพ่อและแม่พยายามทำใจยอมรับให้ได้ พวกเขาต้องพาลูกน้อยเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง เพื่อรักษาชีวิตของน้องโมเน่ต์ กระทั่งตัดสินใจว่า จะไม่ให้แพทย์เจาะ หรือผ่าตัดอะไรที่จะทำให้ลูกสาวเจ็บต่อไปอีกแล้ว พร้อมกับขอให้แพทย์ไม่ต้องยื้อชีวิตหนูน้อยไว้ หากเกิดอาการอะไรหนัก ๆ ที่จำเป็นต้องปั๊มหัวใจ
ด้วยอาการป่วยของน้องโมเน่ต์ ทำให้เธอต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่มากกว่าเด็กเล็กทั่วไป แต่แม้จะเหนื่อยยากเพียงใด ครอบครัวนี้ก็สัญญาว่าจะดูแลน้องโมเน่ต์ อย่างดีที่สุด และร่วมต่อสู้ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งไม่เพียงกำลังใจอันเข้มแข็งในครอบครัว พวกเขายังได้รับแรงใจมากมายจากชาวพันทิปที่ร่วมส่งกำลังใจ และสิ่งของจำเป็นมากมายไปให้น้องโมเน่ต์ ...และเราขอร่วมเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ...สู้ต่อไปนะ น้องโมเน่ต์^^
แม้จะเป็นความจริงที่แสนเจ็บปวด แต่ผู้เป็นพ่อและแม่พยายามทำใจยอมรับให้ได้ พวกเขาต้องพาลูกน้อยเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง เพื่อรักษาชีวิตของน้องโมเน่ต์ กระทั่งตัดสินใจว่า จะไม่ให้แพทย์เจาะ หรือผ่าตัดอะไรที่จะทำให้ลูกสาวเจ็บต่อไปอีกแล้ว พร้อมกับขอให้แพทย์ไม่ต้องยื้อชีวิตหนูน้อยไว้ หากเกิดอาการอะไรหนัก ๆ ที่จำเป็นต้องปั๊มหัวใจ
ด้วยอาการป่วยของน้องโมเน่ต์ ทำให้เธอต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่มากกว่าเด็กเล็กทั่วไป แต่แม้จะเหนื่อยยากเพียงใด ครอบครัวนี้ก็สัญญาว่าจะดูแลน้องโมเน่ต์ อย่างดีที่สุด และร่วมต่อสู้ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งไม่เพียงกำลังใจอันเข้มแข็งในครอบครัว พวกเขายังได้รับแรงใจมากมายจากชาวพันทิปที่ร่วมส่งกำลังใจ และสิ่งของจำเป็นมากมายไปให้น้องโมเน่ต์ ...และเราขอร่วมเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ...สู้ต่อไปนะ น้องโมเน่ต์^^
แบรท - ไมเคิล วูล์ฟ
เป็นข่าวน่าเศร้าเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แบรท วูล์ฟ หนุ่มชาวมะกัน ร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจ และพยายามปั๊มหัวใจ "ไมเคิล" ลูกชายวัย 4 ขวบ แต่ก็ไม่เป็นผล หลังพลั้งเผลอปล่อยลูกเล่นใกล้ระเบียง จนพลัดตกจากคอนโดมิเนียมชั้น 10 กลางเมืองพัทยา และ วูล์ฟ ก็ไม่สามารถผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนี้ไปได้ 3 วัน หลังการจากไปของไมเคิล เขาตัดสินใจกินยาปลิดชีวิตตนเอง โดยทิ้งโน้ตข้อความว่า... "I love my son Michael" ผมรักลูกของผม ไมเคิล
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ อาจพบกุญแจสำคัญว่าทำไม วูล์ฟ จึงเลือกทางออกด้วยวิธีการนี้... วูล์ฟ แต่งงานกับภรรยาชาวฟิลิปปินส์ มีลูกหนึ่งคน ก่อนจะหย่าร้างกัน และเขาได้สิทธิ์เลี้ยงดูลูก โดยในขณะที่ไมเคิลอายุได้เกือบ 2 ขวบ วูล์ฟ ต้องพบกับฝันร้าย เมื่อพี่เลี้ยงสาววัย 15 ปี พาลูกน้อยของเขาหายไปจากบ้านเป็นเวลากว่า 24 ชั่วโมง ซึ่งเหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกมากพอที่ FBI จะให้ความร่วมมือกับตำรวจท้องที่ จนสามารถหาตัว ไมเคิล กลับมาสู่อ้อมกอดของพ่ออีกครั้ง หลังจากนั้น วูล์ฟ ก็หอบลูกมาอยู่พัทยา ก่อนจะมาพบกับจุดจบของชีวิตในที่สุด
พ่อ...แม้จะเป็นเพศที่เข้มแข็ง แต่เมื่อต้องแบกรับความรู้สึกแห่งการสูญเสียลูกอันเป็นที่รัก ที่ผู้เป็นพ่อคิดว่าตัวเองมีส่วนด้วยแล้ว เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจึงเกิดขึ้นเช่นนี้...และเราขอสดุดีกับความรักของพ่อ คนนี้ แต่อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า การฆ่าตัวตาย ก็ไม่ใช่ทางออกสุดท้ายในการแก้ปัญหาชีวิต
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ อาจพบกุญแจสำคัญว่าทำไม วูล์ฟ จึงเลือกทางออกด้วยวิธีการนี้... วูล์ฟ แต่งงานกับภรรยาชาวฟิลิปปินส์ มีลูกหนึ่งคน ก่อนจะหย่าร้างกัน และเขาได้สิทธิ์เลี้ยงดูลูก โดยในขณะที่ไมเคิลอายุได้เกือบ 2 ขวบ วูล์ฟ ต้องพบกับฝันร้าย เมื่อพี่เลี้ยงสาววัย 15 ปี พาลูกน้อยของเขาหายไปจากบ้านเป็นเวลากว่า 24 ชั่วโมง ซึ่งเหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกมากพอที่ FBI จะให้ความร่วมมือกับตำรวจท้องที่ จนสามารถหาตัว ไมเคิล กลับมาสู่อ้อมกอดของพ่ออีกครั้ง หลังจากนั้น วูล์ฟ ก็หอบลูกมาอยู่พัทยา ก่อนจะมาพบกับจุดจบของชีวิตในที่สุด
พ่อ...แม้จะเป็นเพศที่เข้มแข็ง แต่เมื่อต้องแบกรับความรู้สึกแห่งการสูญเสียลูกอันเป็นที่รัก ที่ผู้เป็นพ่อคิดว่าตัวเองมีส่วนด้วยแล้ว เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจึงเกิดขึ้นเช่นนี้...และเราขอสดุดีกับความรักของพ่อ คนนี้ แต่อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า การฆ่าตัวตาย ก็ไม่ใช่ทางออกสุดท้ายในการแก้ปัญหาชีวิต
ลินดา พิริยะปัญญาพร
คุณลินดา พิริยะปัญญาพร คือผู้ป่วยลำไส้ทะลักออกมาอยู่นอกตัวตั้งแต่แรกเกิด แต่เธอกลับมีชีวิตรอดมากว่า 30 ปีแล้ว ด้วยกำลังใจจากคนในครอบครัว และการมองโลกในแง่ดี ทว่าหลายสิบปีมานี้เธอก็ต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำจากอากาปวดท้อง และความเจ็บปวดซ้ำซากเช่นนี้ ทำให้คุณลินดา ตัดสินใจผ่าตัดเรียงลำไส้ แม้จะเสี่ยงต่อชีวิตสูงมาก แต่การผ่าตัดในครั้งนั้นเธอก็รอดชีวิตมาได้ แม้อาการจะไม่หายร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแค่อาการปวดท้องจะลดน้อยลงก็เท่านั้น
จากนั้นแพทย์ แนะนำให้เธอผ่าตัดสร้างตาข่ายเทียมเพื่อยึดให้เกิดผนังหน้าท้องให้แข็งแรง ขึ้น แต่ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ คุณลินดา จำเป็นต้องผ่านการตั้งครรภ์และคลอดบุตรมาก่อน ซึ่งเธอได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนชายนักธุรกิจชาวต่างชาติเป็นผู้บริจาค น้ำเชื้อให้ และตั้งครรภ์ลูกแฝด ทว่าข่าวดีนี้มาพร้อมกับข่าวร้าย เมื่อเธอตรวจเจอมะเร็งต่อมไทรอยด์ จนสุดท้ายต้องแท้งลูกไป และผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกไปได้สำเร็จ
ทั้งนี้ ในขณะที่คุณลินดากำลังรักษาตัวอยู่ เธอก็เดินหน้าสานต่อความฝันที่อยากก้าวไปเป็นช่างผมระดับโลกต่อไป ด้วยการไปศึกษาเรื่องการทำผมที่สหรัฐอเมริกา และเข้าร่วมการประกวดช่างผมระดับโลก ปี 2009 เธอต้องต่อสู้กับการกลั่นแกล้งสารพัดจากเวทีประกวด ก่อนจะได้รับรางวัลที่ 4 และรางวัล Best Perfomance Award ซึ่งแม้จะโกรธมากกับจนแทบไม่อยากได้รางวัล แต่เธอยังคงตั้งปณิธานว่า "จะเป็นที่ 1 ในเวทีโลกให้ได้ก่อนตาย" เพื่อสร้างชื่อเสียงประเทศไทยให้จงได้
จากนั้นแพทย์ แนะนำให้เธอผ่าตัดสร้างตาข่ายเทียมเพื่อยึดให้เกิดผนังหน้าท้องให้แข็งแรง ขึ้น แต่ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ คุณลินดา จำเป็นต้องผ่านการตั้งครรภ์และคลอดบุตรมาก่อน ซึ่งเธอได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนชายนักธุรกิจชาวต่างชาติเป็นผู้บริจาค น้ำเชื้อให้ และตั้งครรภ์ลูกแฝด ทว่าข่าวดีนี้มาพร้อมกับข่าวร้าย เมื่อเธอตรวจเจอมะเร็งต่อมไทรอยด์ จนสุดท้ายต้องแท้งลูกไป และผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกไปได้สำเร็จ
ทั้งนี้ ในขณะที่คุณลินดากำลังรักษาตัวอยู่ เธอก็เดินหน้าสานต่อความฝันที่อยากก้าวไปเป็นช่างผมระดับโลกต่อไป ด้วยการไปศึกษาเรื่องการทำผมที่สหรัฐอเมริกา และเข้าร่วมการประกวดช่างผมระดับโลก ปี 2009 เธอต้องต่อสู้กับการกลั่นแกล้งสารพัดจากเวทีประกวด ก่อนจะได้รับรางวัลที่ 4 และรางวัล Best Perfomance Award ซึ่งแม้จะโกรธมากกับจนแทบไม่อยากได้รางวัล แต่เธอยังคงตั้งปณิธานว่า "จะเป็นที่ 1 ในเวทีโลกให้ได้ก่อนตาย" เพื่อสร้างชื่อเสียงประเทศไทยให้จงได้
มะกุด พิการแต่ตัว หัวใจยังเข้มแข็ง
แม้ว่า มะกุด ต่ออำนาจ จะเกิดมาโดยไร้แขน ไร้ขา แต่เธอก็ไม่เคยย่อท้อแต่อุปสรรค มะกุด ทำงานทุกอย่างทั้งถักโครเชต์ ขายผลไม้ และยังจับมือกับเพื่อนอีก 2 คนซึ่งคนหนึ่งตาบอดเลือนราง ขณะที่อีกคนร่างกายฝั่งขวาไม่มีแรง ตระเวนไปทั่ว อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เพื่อรับซื้อของเก่า พอเป็นรายได้ประทังเลี้ยงชีพ และหากมีเงินเหลือมากกว่า 100 บาท มะกุด ก็จะนำเงินก้อนนั้นมาให้มารดา
มะกุด บอกตัวเองเสมอว่า จะไม่ท้อถอยกับชีวิต ต้องมองโลกในแง่บวกและพยายามที่จะนำพาชีวิตของตัวเองและคนใกล้ชิดให้ก้าวไป ข้างหน้าด้วยกัน เช่นนั้นแล้วใครที่กำลังสิ้นหวัง ท้อแท้ หมดกำลังใจ ลองนำเรื่องราวของ มะกุด ไปเป็นข้อคิดเตือนสติตัวเองว่า ยังมีคนที่ลำบากกว่าเราอีกมาก แต่เขาไม่เคยท้อแท้ หรือนั่งยอมแพ้กับให้กับโชคชะตาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเลย
มะกุด บอกตัวเองเสมอว่า จะไม่ท้อถอยกับชีวิต ต้องมองโลกในแง่บวกและพยายามที่จะนำพาชีวิตของตัวเองและคนใกล้ชิดให้ก้าวไป ข้างหน้าด้วยกัน เช่นนั้นแล้วใครที่กำลังสิ้นหวัง ท้อแท้ หมดกำลังใจ ลองนำเรื่องราวของ มะกุด ไปเป็นข้อคิดเตือนสติตัวเองว่า ยังมีคนที่ลำบากกว่าเราอีกมาก แต่เขาไม่เคยท้อแท้ หรือนั่งยอมแพ้กับให้กับโชคชะตาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเลย
ยายยิ้ม ยิ้มเย้ยยาก
ยายยิ้ม หญิงชราวัยใกล้ร้อย จะเดินลงจากบ้านกลางป่าเขาระยะทาง 7-8 กิโลเมตร เป็นกิจวัตรสม่ำเสมอทุกวันพระ จนเป็นภาพชินตาของชาวบ้านบ้านท่าหนอง จ.พิษณุโลก ซึ่งแม้ว่าระยะทางไกลเต็มไปด้วยหล่มโคลน ถนนเป็นร่องขรุขระ หรือฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ยายยิ้ม ก็ไปถึงวัดไม่เคยขาด
ทุกวันนี้แม้วัยจะล่วงเลยมาถึง 83 ปี แต่ ยายยิ้ม ยืนยันว่าร่างกายยังแข็งแรงดี และก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับการที่ต้องอยู่บ้านกลางป่าเพียงลำพังมากว่า 20 ปีแล้ว และหลายครั้ง ลูกชาย 2 คน ที่คอยดูแลแม่คนนี้อยู่ห่าง ๆ จะพยายามรบเร้าให้แกไปอยู่ด้วย แต่ก็ดูเหมือนจะเอาชนะใจแม่ได้ยากยิ่ง ด้วยเหตุว่า บ้านกลางป่าของแก ทำให้ชีวิตไม่วุ่นวายจนเกินไปนัก ถึงจะต้องอดบ้างยามฝนตกลงจากเขาไม่ได้ แต่ยายยิ้ม ก็ยืนกรานว่า จะขออยู่ในป่าในเขาอย่างนี้ไปจนตาย
ด้วยความเป็นคนจริงเรื่องการทำบุญ รายได้ประจำตัวจากเบี้ยคนชราเดือนละ 500 บาท จึงมักหมดไปกับการทำบุญเสียทุกคราวที่ยายยิ้มไปวัด รวมไปถึงเงินที่ลูกหลานแบ่งไว้ให้ใช้ยามมาเยี่ยม ก็ร่อยหรอไปกับกิจกรรมในทางธรรมเช่นกัน โดยยามว่างยายยิ้มจะลงมือสร้างฝาย (คันกั้นน้ำ) เพื่อรักษาผืนป่าให้คงอยู่แบบธรรมชาติที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา ยายยิ้ม สามารถสร้างฝายจากสองมือได้ถึง 11 ฝายแล้ว และตั้งเป้าจะทำให้ถึง 14 ฝายด้วย
วิถีชีวิตกลางป่าแบบ ยายยิ้ม ใช่ว่าจะเป็นทางเดินไร้ทางเลือก หากแต่ ยายยิ้ม ได้ตัดสินใจสละความทุกข์ยากในสังคมเมืองอันวุ่นวาย หันหน้าสู่ธรรมชาติและสรรหาความสุขที่แท้จริง จนมีชีวิตในแบบ ยายยิ้ม ยิ้มเย้ยยาก...ชีวิตที่มีครบทุกสิ่ง...จะขาดก็เพียงแต่ ไม่รู้ว่า "ความทุกข์" หน้าตาเป็นอย่างไร
จากเรื่องราวชีวิตที่ถ่ายทอดผ่านตัวบุคคลทั้งหมดนี้ ต่างสะท้อนความรู้สึกหลากอารมณ์ ทั้งเศร้า ซึ้ง และประทับใจ ซึ่งไม่แน่ว่า อาจทำให้กำลังใจดี ๆ ก่อตัวขึ้นในใจของคุณ และสำรองไว้เป็นภูมิคุ้มกันความท้อแท้สิ้นหวัง เพื่อต้อนรับกับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานนี้...
ทุกวันนี้แม้วัยจะล่วงเลยมาถึง 83 ปี แต่ ยายยิ้ม ยืนยันว่าร่างกายยังแข็งแรงดี และก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับการที่ต้องอยู่บ้านกลางป่าเพียงลำพังมากว่า 20 ปีแล้ว และหลายครั้ง ลูกชาย 2 คน ที่คอยดูแลแม่คนนี้อยู่ห่าง ๆ จะพยายามรบเร้าให้แกไปอยู่ด้วย แต่ก็ดูเหมือนจะเอาชนะใจแม่ได้ยากยิ่ง ด้วยเหตุว่า บ้านกลางป่าของแก ทำให้ชีวิตไม่วุ่นวายจนเกินไปนัก ถึงจะต้องอดบ้างยามฝนตกลงจากเขาไม่ได้ แต่ยายยิ้ม ก็ยืนกรานว่า จะขออยู่ในป่าในเขาอย่างนี้ไปจนตาย
ด้วยความเป็นคนจริงเรื่องการทำบุญ รายได้ประจำตัวจากเบี้ยคนชราเดือนละ 500 บาท จึงมักหมดไปกับการทำบุญเสียทุกคราวที่ยายยิ้มไปวัด รวมไปถึงเงินที่ลูกหลานแบ่งไว้ให้ใช้ยามมาเยี่ยม ก็ร่อยหรอไปกับกิจกรรมในทางธรรมเช่นกัน โดยยามว่างยายยิ้มจะลงมือสร้างฝาย (คันกั้นน้ำ) เพื่อรักษาผืนป่าให้คงอยู่แบบธรรมชาติที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา ยายยิ้ม สามารถสร้างฝายจากสองมือได้ถึง 11 ฝายแล้ว และตั้งเป้าจะทำให้ถึง 14 ฝายด้วย
วิถีชีวิตกลางป่าแบบ ยายยิ้ม ใช่ว่าจะเป็นทางเดินไร้ทางเลือก หากแต่ ยายยิ้ม ได้ตัดสินใจสละความทุกข์ยากในสังคมเมืองอันวุ่นวาย หันหน้าสู่ธรรมชาติและสรรหาความสุขที่แท้จริง จนมีชีวิตในแบบ ยายยิ้ม ยิ้มเย้ยยาก...ชีวิตที่มีครบทุกสิ่ง...จะขาดก็เพียงแต่ ไม่รู้ว่า "ความทุกข์" หน้าตาเป็นอย่างไร
จากเรื่องราวชีวิตที่ถ่ายทอดผ่านตัวบุคคลทั้งหมดนี้ ต่างสะท้อนความรู้สึกหลากอารมณ์ ทั้งเศร้า ซึ้ง และประทับใจ ซึ่งไม่แน่ว่า อาจทำให้กำลังใจดี ๆ ก่อตัวขึ้นในใจของคุณ และสำรองไว้เป็นภูมิคุ้มกันความท้อแท้สิ้นหวัง เพื่อต้อนรับกับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานนี้...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น