วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

A Rule of a Mirror...

> กฎแห่งกระจก A Rule of a Mirror
> (กฎมหัศจรรย์ที่จะช่วยแก้ไขทุกปัญหาในชีวิตของคุณ)
> เรื่องต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
> แต่มีการเปลี่ยนชื่อและอาชีพของตัวละครเพื่อความเหมาะสม
> เอโกะ อาคิยามะ
> แม่บ้านอายุย่าง 41 ปี
> มีเรื่องกังวลใจอยู่เรื่องหนึ่ง
> >
> > นั่นก็คือ ยูตะ
> ลูกชายของเธอที่กำลังจะขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่
> 5
> ถูกเพื่อนที่โรงเรียนกลั่นแกล้ง
> >
> >
> เพื่อนๆไม่ได้ใช้กำลังกับเขา
> เพียงแต่มักแสดงท่าทีรังเกียจและมองว่าเขาเป็นตัวปัญหา
> >
> >
> "ผมไม่ได้ถูกแกล้งสักหน่อย"
> ยูตะยืนกรานหนักแน่น
> เอโกะรู้สึกเจ็บปวดใจทุกครั้งที่เห็นลูกชายอยู่อย่างโดดเดี่ยว
> >
> >
> ยูตะชอบเล่นเบสบอลมาก
> แต่เพื่อน ๆ
> ไม่ยอมชวนเขาไปเล่นด้วย
> หลังเลิกเรียนทุกวันเขาจึงต้องไปโยนรับลูกเบสบอลที่กำแพงคนเดียวในสวนสาธารณะ
> >
> >
> ยูตะเคยเล่นเบสบอลกับเพื่อน
> ๆ
> เมื่อประมาณสองปีก่อน
> วันหนึ่งขณะที่เอโกะจ่ายตลาดเสร็จและกำลังจะกลับบ้าน
> เธอเดินผ่านโรงเรียนและเห็นว่ายูตะกำลังเล่นเบสบอลกับเพื่อนอยู่ในสนาม
> >
> >
> ยูตะเล่นพลาดและเพื่อนๆก็กำลังรุมต่อว่าเขา
> >
> >
> เพื่อนร่วมทีมต่างตำหนิยูตะเสียงดังอย่างไม่ไว้หน้า
> >
> >
> "นายนี่เล่นห่วยจริงๆ
> เลย!"
> >
> >
> "เพราะนายนั่นแหล่ะ
> เราถึงเสียไปตั้งสามแต้ม
> !"
> >
> >
> "ถ้าจะแพ้ก็เพราะนายนี่แหล่ะ
> !"
> >
> > เอโกะนึกในใจว่า
> >
> >
> "ถึงยูตะจะเล่นกีฬาไม่เก่ง
> แต่เขาก็มีจิตใจโอบอ้อมอารีนะ
> ยูตะเองก็มีข้อดีเหมือนกัน..."
> >
> >
> เอโกะนึกเจ็บใจแทนยูตะที่ไม่มีใครมองเห็นข้อดีของเขาเลย
> เธอยังทนไม่ได้ที่ต้องเห็นลูกยิ้มและขอโทษเพื่อนทั้ง
> ๆ
> ที่พวกเขาพูดจาไม่ดีใส่
> >
> >
> ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเพื่อน
> ๆ
> ก็ไม่ชวนยูตะไปเล่นเบสบอลด้วยอีกเลย
> >
> >
> "นายน่ะเป็นตัวถ่วง
> ใครจะอยากเล่ยด้วยล่ะ"
> เพื่อนพูดกับเขาอย่างนั้น
> >
> >
> ยูตะทุกข์ใจมากที่ไม่มีใครชวนไปเล่นเบสบอลด้วย
> ซึ่งเอโกะก็รู้ดี
> เพราะสังเกตเห็นได้ว่ายูตะหงุดหงิดใส่เธอบ่อยขึ้น
> >
> >
> แต่ยูตะก็ไม่เคยบอกเอโกะว่าเขาเหงาหรือทุกข์ใจเลย
> >
> > สำหรับเอโกะแล้ว
> เรื่องที่เธอทุกข์ใจมากที่สุดก็คือการที่ลูกชายไม่ยอมเปิดใจกับเธอ
> >
> >
> "ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย"
> ลูกชายของเธอยังคงยืนยันเช่นเดิม
> >
> >
> แม้เอโกะจะพยายามสอน
> "วิธีการคบเพื่อนอย่างชาญฉลาด"
> ให้
> แต่เขาก็บอกปัดเสมอว่า
> "วุ่นวายจริง ๆ เลย!
> อย่ามายุ่งได้มั้ย"
> >
> >
> หรือเมื่อเธอเสนอกับลูกว่า
> "ย้ายโรงเรียนดีไหมจ๊ะ"
> ยูตะก็หัวเสียตอบกลับว่า
> "ถ้าแม่ทำแบบนั้นนะ
> ผมจะโกรธแม่ไปชั่วชีวิตเลย
> คอยดู!"
> >
> >
> เอโกะได้แต่ทุกข์ใจที่ตัวเองไม่เอาไหน
> และเป็นที่พึ่งพิงให้ลูกชายไม่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้
> >
> >
> >
> > วันหนึ่ง
> ยูตะอารมณ์เสียกลับมาบ้านหลังจากออกไปเล่นเบสบอลที่สวนสาธารณะคนเดียวเช่นเคย
> >
> >
> "เป็นอะไรไปน่ะลูก"
> เอโกะถาม
> "ไม่มีอะไรหรอกฮะ"
> ยูตะไม่ยอมเล่าอะไร
> >
> >
> แต่แล้วความจริงก็เปิดเผยเมื่อเพื่อนบ้านที่ค่อนข้างสนิทสนมกันโทรศัพท์มาหาเธอในคืนนั้น
> >
> > "คุณเอโกะคะ
> ยูตะเล่าอะไรให้คุณฟังบ้างไหมคะ"
> >
> > "เอ๊ะ
> ก็เปล่านี่คะ"
> >
> >
> "คือว่าวันนี้ฉันพาลูกไปเล่นชิงช้าที่สวนสาธารณะมาน่ะค่ะ
> แล้วก็เห็นยูตะกำลังเล่นเบสบอลอยู่คนเดียวเหมือนเคย
> จู่ ๆ
> เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเจ็ดแปดคนก็เดินไปบอกกับยูตะว่า
> 'เรากำลังจะไปเล่นดอดจ์บอลกัน
> ไปก่อนนะเพื่อน!'
> เท่านั้นไม่พอ
> เด็กคนหนึ่งยังขว้างลูกบอลใส่ยูตะด้วยค่ะ
> >
> ยูตะเลยรีบกลับบ้านทันที
> ฉันเองก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ
> ตอนนั้นไม่รู้จริง ๆ
> ว่าจะทำยังไงดี"
> >
> > เอโกะอึ้งไปชั่วขณะ
> >
> > "มีเรื่องขนาดนี้
> ยูตะยังไม่ยอมเล่าให้ฟังเลย…"
> >
> >
> เอโกะเสียใจที่ลูกไม่เปิดใจปรับทุกข์กับเธอ
> แต่ก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะเซ้าซี้ถามลูกในวันนั้น
> >
> >
> >
> > วันต่อมา
> เอโกะตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาคนคนหนึ่ง
> >
> > คนคนนั้นคือ
> คุณยางุจิ
> รุ่นพี่ของสามีเธอ
> >
> >
> เอโกะไม่เคยคุยกับคุณยางุจิโดยตรง
> สามีของเธอเพิ่งจะให้นามบัตรของเขามาเมื่อสัปดาห์ก่อน
> >
> >
> คุณยางุจิเป็นรุ่นพี่ในชมรมเคนโดเมื่อสมัยมัธยมปลาย
> สามีของเธอไม่ได้พบกับเขามาเกือบ
> 20 ปีแล้ว
> แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับได้พบกันโดยบังเอิญ
> >
> >
> ทั้งสองมีเรื่องคุยกันหลายเรื่องหลังจากไม่ได้พบกันมานาน
> รู้ตัวอีกทีก็นั่งแช่อยู่ในร้านกาแฟนานกว่าสองชั่วโมง
> ปัจจุบันคุณยางุจิทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ
> >
> > สามีของเธอเล่าว่า
> คุณยางุจิเชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและให้คำปรึกษาแก่ทั้งบริษัทและบุคคลทั่วไป
> สามีของเธอเล่าเรื่องของยูตะให้คุณยางุจิฟัง
> เขาจึงยื่นนามบัตรให้แล้วบอกว่า
> "ผมน่าจะช่วยได้นะ"
> >
> >
> วันนั้นสามีบอกกับเธอว่า
> "คุณลองโทร.ไปคุยกับเขาดูสิผมเกริ่นเอาไว้ให้แล้ว"
> พร้อมกับยื่นนามบัตรให้
> >
> >
> "ทำไมฉันต้องโทร.ไปคุยกับคนที่ไม่รู้จักด้วยล่ะ
> คุณก็คุยไปคนเดียวสิ"
> >
> >
> "คนที่น่าเป็นห่วงคือคุณนะ
> ผมเห็นคุณกังวลเรื่องยูตะมานานแล้ว
> ก็เลยลองปรึกษาคุณยางุจิดู"
> >
> >
> "หมายความว่าปัญหาอยู่ที่ฉันงั้นเหรอ
> คนเป็นแม่จะเป็นห่วงลูกก็ไม่เสียหายตรงไหนนี่!
> คุณน่ะได้แต่ขับรถไปวันๆจะไปทุกข์ร้อนอะไรล่ะ
> คนที่เลี้ยงยูตะก็มีแต่ฉันคนเดียวนี่แหล่ะ
> คุณไม่เคยต้องเป็นห่วงหรอก
> ฉันไม่มีทางคุยกับเขาแน่นอน
> ถึงยังไงเขาก็คงไม่เคยเลี้ยงลูกอยู่แล้ว
> เหมือนคุณน่ะแหล่ะ"
> >
> >
> พูดจบเอโกะก็โยนนามบัตรทิ้งไว้บนโต๊ะอาหาร
> >
> > หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป
> หลังจากได้ฟังเรื่องที่เพื่อนบ้านเล่า
> เอโกะก็รู้สึกสิ้นหวัง
> เธออยากหาทางออกไปให้พ้นจากปัญหานี้เสียที
> >
> >
> "ฉันไม่อยากทุกข์ทรมานอีกแล้ว
> ใครก็ได้ช่วยฉันที"
> >
> >
> แล้วเธอก็นึกถึงคุณยางุจิขึ้นมา
> โชคดีที่เธอหานามบัตรของเขาพบ
> >
> >
> หลังจากที่ยูตะออกไปโรงเรียนได้ชั่วโมงหนึ่ง
> เธอจึงโทรศัพท์ไปหาคุณยางุจิ
> >
> >
> แล้วในวันนั้นเธอก็ได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
> >
> >
> >
> >
> โอเปอเรเตอร์สาวต่อสายของเธอให้คุณยางุจิ
> >
> > เอโกะแนะนำตัว
> เสียงของคุณยางุจิที่ดังมาตามสายฟังดูอารมณ์ดี
> เธออดคิดไม่ได้ว่า
> ปรึกษาเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้จะดีหรือ
> >
> > เธออ้ำอึ้ง
> ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรจนกระทั่งคุณยางุจิเอ่ยว่า
> >
> >
> "ไม่ทราบว่าใช่ภรรยาของคุณอาคิยามะหรือเปล่าครับ"
> >
> > "ค่ะ ใช่แล้วค่ะ"
> >
> > "อ้อ ครับ
> ยินดีที่ได้รู้จักครับ"
> >
> > "เอ่อ
> คือสามีดิฉันเล่าอะไรให้คุณฟังบ้างแล้วหรือยังคะ"
> >
> > "ครับ
> เขาเกริ่นให้ผมฟังว่าคุณกำลังกังวลเรื่องลูกชายอยู่..."
> >
> >
> "ไม่ทราบว่าพอจะให้คำปรึกษาดิฉันหน่อยได้ไหมคะ"
> >
> >
> "ตอนนี้ผมมีเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง
> ถ้าคุณสะดวก
> เล่าให้ผมฟังเลยได้ไหมครับ"
> >
> >
> เอโกะจึงเล่าคร่าวๆถึงเรื่องที่ยูตะถูกเพื่อนแกล้งและไม่มีใครเล่นด้วย
> รวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
> >
> >
> หลังจากฟังเธอเล่าจบ
> คุณยางุจิก็เอ่ยขึ้นว่า
> >
> >
> "คุณคงกังวลใจมากเลยสินะครับ
> ไม่มีเรื่องไหนจะทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจได้เท่าเรื่องลูกอีกแล้ว"
> >
> > พอได้ยินคำนั้น
> เอโกะก็น้ำตาคลอ
> >
> >
> คุณยางุจิรู้สึกว่าเอโกะกำลังร้องไห้
> จึงรอให้เธอสงบสติอารมณ์ก่อน
> แล้วจึงพูดต่อ
> >
> > "คุณครับ
> คุณต้องการแก้ปัญหานี้ให้ได้จริงๆใช่ไหม
> เราน่าจะหาทางแก้ไขได้นะครับ"
> >
> >
> เอโกะแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินคำว่า
> "แก้ไข"
> เพราะเธอกลุ้มใจเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว
> เธออยากแก้ปัญหาให้ได้จริงๆตามที่คุณยางุจิพูด
> >
> >
> "ถ้ามันช่วยได้แน่ๆ
> ดิฉันก็ยินดีทำตามทุกอย่างเลยค่ะ
> ดิฉันตั้งใจจริงนะคะ
> แต่ว่าต้องทำยังไงบ้างเหรอคะ"
> >
> >
> "ถ้าอย่างงั้นเรามาช่วยกันหาทางแก้เถอะครับ
> ในตอนนี้เท่าที่ผมรู้ก็คือ
> คุณกำลังเกลียดใครบางคนใกล้ตัว"
> >
> > "เอ๊ะ
> หมายความว่ายังไงคะ"
> >
> >
> "ผมคงพูดข้ามไปหน่อย
> ความจริงผมควรอธิบายหลักการคร่าวๆให้คุณฟังก่อน
> แต่ว่าตอนนี้ผมมีเวลาไม่มาก
> เอาเป็นว่าขอพูดสรุปเลยแล้วกันนะครับ
> ที่ลูกชายคนสำคัญของคุณถูกเพื่อนแกล้งจนคุณต้องกังวลใจนั้น
> ก็เพราะคุณไม่เคยนึกขอบคุณคนที่ควรจะขอบคุณเลย
> ไม่ใช่แค่นั้นครับ
> >
> คุณยังรู้สึกเกลียดชังคนเหล่านั้นตลอดมาด้วย"
> >
> >
> "ลูกถูกเพื่อนแกล้งกับปัญหาส่วนตัวของดิฉันมันเกี่ยวข้องกันได้ยังไงคะ
> ฟังเหมือนเป็นความเชื่อทางศาสนามากกว่านะคะ"
> >
> >
> "ไม่แปลกที่จะคิดอย่างนั้นครับ
> โรงเรียนมักสอนให้เราเชื่อเฉพาะสิ่งที่พิสูจน์ได้
> แต่สิ่งที่ผมบอกไปเมื่อครู่เป็นกฎในสาขาวิชาจิตวิทยาที่ได้รับการค้นพบมานานแล้ว
> จะนึกว่าเป็นเรื่องทำนองเดียวกับความเชื่อศาสนาที่มีมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ก็ได้ครับ
> ไม่เป็นไร
> แต่โดยส่วนตัวแล้ว
> >
> ผมไม่ได้นับถือศาสนาอะไรนะครับ"
> >
> >
> "ช่วยอธิบายกฎนั้นให้ดิฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ"
> >
> > "ได้สิครับ
> กฎนั้นก็คือ
> เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ
> "ผลลัพธ์" เมื่อมี
> "ผลลัพธ์" ก็ต้องมี
> "ต้นเหตุ"
> และต้นเหตุก็มีที่มาจากจิตใจของเราเอง
> หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ
> เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตคือกระจกส่องสะท้อนจิตใจของเราเอง
> ตัวอย่างเช่น
> เวลาส่องกระจกเราก็จะเห็นว่า
> 'เอ๊ะ
> > ผมยุ่งเชียว!' หรือ
> 'อะไรกัน
> ทำไมวันนี้หน้าตาถึงได้ซีดเซียวขนาดนี้'
> ถ้าไม่มีกระจก
> เราก็มองไม่เห็นสภาพของตัวเอง
> จริงไหมครับ
> ลองคิดว่าชีวิตของคุณคือ
> กระจก
> การมีกระจกที่เรียกว่าชีวิตจะทำให้เรามองเห็นสภาพของตัวเอง
> และเกิดแรงจูงใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
> >
> ชีวิตของคนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดครับ"
> >
> >
> "สิ่งที่ดิฉันกังวลอยู่ตอนนี้สะท้อนให้เห็นอะไรหรอคะ"
> >
> >
> ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือ
> 'ลูกชายคนสำคัญของคุณกำลังเป็นทุกข์เพราะถูกเพื่อนแกล้ง'
> ต้นเหตุที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือคุณ
> 'กำลังเกลียดคนที่คุณควรจะให้ความสำคัญ'
> คุณคิดแบบนั้นบ้างหรือเปล่าครับ
> อย่างเช่นว่าเกลียดคนที่คุณควรจะต้องสำนึกขอบคุณ
> หรือไม่ก็เกลียดคนใกล้ตัว
> >
> คุณเกลียดสามีอยู่หรือเปล่าครับ
> ในเมื่อเขาอยู่ใกล้ชิดคุณมากที่สุด"
> >
> > ไม่นี่คะ
> ดิฉันนึกขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำ
> เขาขยันทำงานขับรถบรรทุกเพื่อให้เรามีอยู่มีกินอย่างทุกวันนี้"
> >
> >
> ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วครับ
> แล้วคุณให้ความสำคัญกับสามีคุณมากน้อยแค่ไหนครับ
> เคารพเขาไหม"
> >
> >
> >
> >
> เอโกะสะดุ้งเมื่อได้ยินคำว่า
> "เคารพ"
> เพราะเธอรู้สึกดูแคลนสามีอยู่ตลอดเวลา
> >
> >
> เอโกะมองว่าคนที่มองโลกในแง่ดีอย่างสามีคือคนที่
> "ไม่มีความคิด"
> และบางครั้งยังมองว่า
> "ไม่มีการศึกษา"
> อีกด้วย
> >
> >
> เอโกะเรียนจบมหาวิทยาลัย
> แต่สามีจบแค่ชั้นมัธยมปลายไม่เพียงเท่านั้น
> สามีของเธอยังเป็นคนพูดจากระด้าง
> ชอบอ่านแต่นิตยสารรายสัปดาห์
> ส่วนเอโกะชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ
> เธอจึงคิดอยู่เสมอว่า
> "ขออย่าให้ยูตะเป็นเหมือนสามีเลย"
> >
> >
> แล้วเอโกะก็เล่าให้คุณยางุจิฟังว่าเธอคิดอย่างไร
> >
> >
> "คุณคิดว่าคุณค่าของคนขึ้นอยู่กับการศึกษา
> ความรู้
> หรือไม่ก็ความคิดหรือเปล่าครับ"
> >
> > "ไม่ค่ะ
> ไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย
> ดิฉันคิดว่าทุกคนต่างก็มีจุดเด่นและความสามารถเฉพาะตัว"
> >
> >
> "ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงดูถูกสามีว่า
> 'ไม่มีความรู้'
> ล่ะครับ"
> >
> >
> "เอ่อ...ดิฉันมีความขัดแย้งในตัวเองใช่ไหมคะนี่"
> >
> >
> แล้วความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับสามีเป็นยังไงบ้างครับ"
> >
> >
> "ดิฉันมักจะไม่พอใจพฤติกรรมกับคำพูดของเขาอยู่บ่อยๆค่ะ
> บางทีก็ถึงขั้นทะเลาะกัน"
> >
> >
> "แล้วเรื่องของยูตะล่ะครับ
> สามีคุณว่ายังไงบ้าง"
> >
> >
> "ดิฉันบ่นกับเขาเรื่องที่ยูตะถูกเพื่อนแกล้งอยู่เหมือนกันค่ะ
> แต่ก็ไม่เคยรับฟังความคิดเห็นหรือคำแนะนำจากเขาเลย
> เราไม่เคยปรึกษากันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวสักที
> คงเป็นเพราะดิฉันไม่ยอมรับสามีน่ะค่ะ"
> >
> > "อย่างนี้นี่เอง
> แต่ดูเหมือนจะมีสาเหตุอื่นด้วยนะครับ
> ผมว่าเราควรแก้ปัญหานั้นก่อน
> แล้วค่อยกลับมาดูเรื่องนี้กันอีกทีดีกว่าครับ"
> >
> >
> >
> >
> "สาเหตุอื่นเหรอคะ"
> >
> >
> "เราต้องหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้คุณไม่ยอมรับในตัวสามีครับ
> ผมขอถามหน่อยนะครับ
> คุณสำนึกบุญคุณของพ่อบ้างหรือเปล่า"
> >
> > "เอ๊ะ พ่อเหรอคะ
> ก็ต้องสำนึกสิคะ..."
> >
> >
> "ลึกๆแล้วคุณรู้สึกว่าท่านทำสิ่งที่คุณ
> 'ให้อภัยไม่ได้'
> บ้างไหมครับ"
> >
> >
> เอโกะรู้สึกว่ามีบางอย่างสะกิดใจเธอเมื่อได้ยินคำว่า
> "ให้อภัยไม่ได้"
> >
> >
> เธอเริ่มคิดว่าตัวเองอาจไม่เคยให้อภัยพ่อเลย
> >
> >
> เธอรู้สึกสำนึกบุญคุณพ่อในฐานะที่ท่านเป็นพ่อ
> แต่เธอไม่ได้รักพ่อ
> >
> >
> ทุกๆปีนับแต่แต่งงานออกไป
> เอโกะจะกลับบ้านช่วงเทศกาลเซ่นไหว้บรรพบุรุษและวันปีใหม่
> แต่เธอก็แทบไม่คุยกับพ่อ
> แค่ทักทายตามมารยาทเท่านั้น
> >
> >
> เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต
> เธอรู้สึกว่าพ่อเป็นคนอื่นมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายแล้ว
> >
> >
> "ดิฉันคงไม่เคยให้อภัยพ่อเลยน่ะค่ะ
> และก็คงจะทำไม่ได้ด้วย"
> >
> > "เหรอครับ
> ดูเหมือนยากที่คุณจะให้อภัยท่าน
> แต่จะลองพยายามดูได้ไหมครับ"
> >
> >
> "ต้นเหตุของความทุกข์นี้เกี่ยวข้องกับพ่อและสามีของดิฉันจริงๆเหรอคะ"
> >
> >
> "คุณต้องลองก่อนถึงจะรู้ครับ"
> >
> > "เข้าใจแล้วค่ะ
> บอกมาได้เลยค่ะว่าดิฉันต้องทำอะไรบ้าง"
> >
> > "ถ้าอย่างนั้น
> ก่อนอื่น
> ช่วยลองทำสิ่งที่ผมกำลังจะบอกต่อไปนี้นะครับ
> ผมอยากให้คุณเขียนระบายความรู้สึกที่คุณคิดว่า
> 'ให้อภัยไม่ได้'
> ลงบนกระดาษ
> เป็นคำพูดระบายความโกรธก็ได้ครับ
> อย่างเช่น '****บ้า'
> หรือไม่ก็ 'ทุเรศ'
> หรือไม่ก็
> 'หนูเกลียดพ่อ!'
> อะไรทำนองนั้นน่ะครับ
> >
> ถ้านึกเหตุการณ์ในอดีตออกก็เขียนลงไปด้วย
> เช่นว่า
> 'เรื่องราวในตอนนั้นทำให้ฉันรู้สึกแย่'
> ระบายความเจ็บแค้น
> ความทุกข์ทุกอย่างลงไปในกระดาษให้หมด
> ไม่ต้องยั้งเลยนะครับ
> คุณต้องเขียนความรู้สึกของตัวเองออกมา
> เขียนไปจนกว่าจะพอใจ
> แล้วค่อยโทรศัพท์มาหาผม
> ผมจะบอกเบอร์มือถือให้นะครับ"
> >
> >
> เอโกะยังนึกสงสัยอยู่ว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยแก้ปัญหาอย่างไรได้
> >
> >
> แต่เธอคิดว่าถ้ามีความเป็นไปได้ก็น่าจะลองดู
> ดีกว่านั่งสงสัยแล้วไม่ทำอะไรเลย
> เอโกะคิดว่า
> "จะลองทำทุกอย่างหากสิ่งนั้นจะช่วยแก้ปัญหาในตอนนี้ได้"
> >
> >
> ถึงแม้เธอจะไม่เข้าใจเหตุผลของคุณยางุจิ
> แต่คำพูดของเขาก็ฟังดูน่าเชื่อถือ
> หลังจากที่เอโกะวางโทรศัพท์
> เธอก็หยิบกระดาษเปล่าสำหรับเขียนรายงานมาเริ่มเขียนระบายความรู้สึกที่มีต่อพ่อของตัวเอง
> >
> >
> สมัยที่เอโกะยังเด็ก
> พ่อของเธอเป็นคนจู้จี้ขี้บ่น
> บ่อยครั้งที่เวลาอาหารเย็นกลายเป็นเวลาของการเทศนาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น และเมื่อลูกๆทำอะไรไม่ได้ดั่งใจก็จะตะโกนด่าว่าเสียๆหายๆนั่นละพ่อของเธอ
> >
> >
> 'พ่อไม่สนหรอกว่าฉันรู้สึกยังไง!'
> หลายครั้งที่เธอคิดอย่างนั้น
> >
> >
> และเธอก็ไม่พอใจที่พ่อชอบบ่นเรื่องงานเวลาเหล้าเข้าปาก
> >
> >
> พ่อเป็นคนงานคุมการก่อสร้าง
> เมื่อเลิกงานกลับมาบ้าน
> พ่อจะนั่งกินข้าวทั้งๆที่ยังสวมเสื้อผ้าเปื้อนเหงื่อ
> เลอะเศษดินและทรายเต็มไปหมด
> >
> >
> เอโกะเขียนระบายความรู้สึกออกมาไม่หยุด
> >
> >
> รู้ตัวอีกทีก็มีคำว่า
> "คนไม่ได้ความ!" และ
> "คนแบบนี้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพ่อหรอก!"และอื่นๆอีกมากมาย
> บางคำก็ค่อนข้างรุนแรงทีเดียว
> >
> >
> เธอนึกถึงเรื่องราวในอดีตสมัยชั้นมัธยมปลาย
> เธอเคยออกไปเที่ยวกับเพื่อนผู้ชายในวันอาทิตย์แล้วพ่อบังเอิญผ่านมาเห็นเข้าพอดี
> เมื่อกลับถึงบ้านเธอจึงถูกพ่อดุอย่างรุนแรง
> >
> >
> เธอโกหกพ่อแม่ว่าไปเที่ยวกับเพื่อนผู้หญิง
> และพ่อก็รับไม่ได้ที่เธอโกหก
> >
> >
> เธอยังจำคำพูดของพ่อในวันนั้นได้ดี
> >
> >
> "แกแอบคบกับเขาเสียๆหายๆหรือยังไง
> ถึงต้องปิดบังพ่อแม่!
> แกไม่มีทางโตขึ้นมาเป็นผู้หญิงดีๆเหมือนใครเขาได้หรอก!"
> >
> >
> น้ำตาแห่งความคับแค้นใจรินไหลออกมา
> เธอเขียนต่อไป
> >
> >
> "ก็เพราะพ่อเป็นเสียแบบนี้
> หนูถึงต้องโกหกไงเล่า!
> พ่อนั่นแหล่ะที่เป็นต้นเหตุ
> ไม่รู้หรือยังไง
> 'แกไม่มีทางโตขึ้นมาเป็นผู้หญิงดีๆเหมือนใครเขาได้หรอก'
> พ่อพูดเกินไปแล้ว
> พ่อไม่รู้หรอกว่าหนูเสียใจแค่ไหนที่พ่อพูดแบบนี้!
> พ่อต่างหากที่ไม่ดี!
> หนูไม่อยากพูดอะไรกับพ่ออีกตั้งแต่นั้นมา
> >
> พ่อนั่นแหล่ะทำตัวเอง!"
> >
> >
> ขณะที่เขียนน้ำตาก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย
> >
> >
> รู้ตัวอีกทีก็เลยเที่ยงวันไปนานแล้ว
> เธอเขียนอยู่เกือบสองชั่วโมง
> กระดาษเขียนรายงานหลายสิบแผ่นเต็มไปด้วยข้อความแห่งความโกรธแค้น
> ไม่รู้ว่าเพราะได้เขียนระบายความคับแค้นใจหรือเพราะว่าได้ร้องไห้ออกมา
> เอโกะจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
> >
> >
> เอโกะโทรศัพท์หาคุณยางุจิอีกครั้งตอนบ่ายโมงกว่า
> >
> >
> "เขียนเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ"
> >
> > "ค่ะ
> ดิฉันระบายทุกอย่างออกมาจนหมด
> แล้วพอได้ร้องไห้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ"
> >
> >
> "คุณพร้อมที่จะให้อภัยคุณพ่อหรือยังครับ"
> >
> > "พูดตรงๆนะคะ
> ดิฉันคงยังไม่ค่อยพร้อม
> แต่ก็จะลองดูค่ะ
> ถ้าทำได้ดิฉันก็จะให้อภัย
> จะได้สบายใจเสียที"
> >
> >
> "ถ้าอย่างนั้นก็มาเริ่มกันเลยครับ
> การให้อภัยคุณพ่อเป็นการทำเพื่อตัวคุณเองนะครับ
> ช่วยหยิบกระดาษมาเขียนหัวข้อว่า
> 'สิ่งที่ควรขอบคุณพ่อ'
> ทีครับ เอาละ
> สิ่งที่คุณจะขอบคุณท่านได้มีอะไรบ้างครับ"
> >
> > "อย่างแรกเลยคือ
> พ่อทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว
> เพราะพ่อ
> ครอบครัวเราจึงมีกินมีใช้
> และดิฉันก็โตมาได้จนทุกวันนี้"
> >
> > "เขียนลงไปเลยครับ
> แล้วอย่างอื่นล่ะครับ"
> >
> > "เอ่อ...สมัยประถม
> พ่อชอบพาดิฉันไปเล่นที่สวนสาธารณะบ่อยๆค่ะ"
> >
> >
> "เขียนลงไปด้วยครับ
> มีอีกไหมครับ"
> >
> > "คงเท่านี้มังคะ"
> >
> >
> "ถ้าอย่างนั้นหยิบกระดาษแผ่นใหม่มาเขียนหัวข้อว่า
> 'สิ่งที่อยากขอโทษพ่อ'
> น่ะครับ
> คุณมีเรื่องที่อยากขอโทษพ่อบ้างไหมครับ"
> >
> > "คิดไม่ออกเลยค่ะ
> ถ้าจะมีก็คงเป็นเรื่องที่ดิฉันนึกต่อต้านพ่ออยู่ตลอดเวลา
> แต่ใจจริงแล้วดิฉันไม่อยากขอโทษเลยค่ะ"
> >
> >
> "ไม่ต้องเอาตามความรู้สึกที่แท้จริงก็ได้ครับ
> แค่เริ่มจากการกระทำภายนอกก่อน
> ยังไงช่วยเขียนสิ่งที่คุณเพิ่งพูดลงไปก่อนนะครับ"
> >
> > "เขียนแล้วค่ะ
> เอ่อ
> แล้วที่บอกว่าเริ่มจากการกระทำภายนอกนี่คืออะไรเหรอคะ"
> >
> > "ฟังให้ดีนะครับ
> จากนี้ไปคุณต้องรวบรวมความกล้าแล้วละครับ
> นี่อาจเป็นสิ่งที่คุณต้องใช้ความกล้ามากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้
> วิธีที่ผมจะแนะนำคุณต่อไปนี้
> คุณอาจไม่อยากทำตาม
> แต่จะทำหรือไม่
> คุณต้องตัดสินใจเอาเองครับ
> >
> >
> ผมอยากให้คุณโทรศัพท์ไปหาคุณพ่อ
> แล้วพูด
> ขอบคุณและขอโทษ ท่าน
> ถ้าคุณไม่อยากพูดเพราะไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น
> พูดตามที่เตรียมเอาไว้ก็ได้ครับ
> แค่อ่านข้อความในกระดาษสองแผ่นที่เขียน
> 'สิ่งที่ควรขอบคุณพ่อ'
> และ
> 'สิ่งที่อยากขอโทษพ่อ'
> แค่บอกท่านไปตามนั้นเองครับ
> >
> พูดเสร็จแล้วจะวางสายเลยก็ได้ลองดูนะครับ"
> >
> >
> "...ดิฉันคงต้องใช้ความกล้ามากที่สุดในชีวิตอย่างที่คุณพูดละมังคะ
> แต่ถ้าสิ่งนี้จะช่วยแก้ปัญหาได้
> ก็มีค่าควรแก่การลองจริงไหมคะ
> แต่ก็ยากจังเลยค่ะ..."
> >
> > "จะทำหรือไม่
> คุณต้องตัดสินใจเอาเองครับ
> แต่ผมคิดว่ามีค่าพอที่จะลองใช้ความกล้าดู
> พอดีว่าผมต้องไปทำธุระต่อแล้วยังไงขอตัวก่อนนะครับ
> ถ้าคุณโทรศัพท์ไปหาคุณพ่อเรียบร้อยเมื่อไหร่
> ขอให้โทร.มาหาผม
> แล้วผมจะบอกขั้นตอนต่อไปให้ครับ"
> >
> > คำพูดที่ว่า
> "เริ่มจากการกระทำภายนอกก่อน"
> เป็นแรงจูงใจให้เอโกะคิดว่าน่าจะลองทำตามที่คุณยางุจิแนะนำดู
> >
> >
> เธอทำใจไม่ได้ที่จะต้องขอโทษ
> เพราะคิดว่าคนผิดคือพ่อ
> เธอไม่ควรเป็นฝ่ายต้องขอโทษเลย
> >
> >
> แต่ถ้าแค่อ่านสิ่งที่เขียนเอาไว้โดยไม่ต้องรู้สึกตามนั้นจริงๆ
> เธอก็น่าจะทำได้
> และควรที่จะลองทำดู
> >
> >
> เอโกะคิดว่าจะโทรศัพท์ไปหาพ่อ
> และอดแปลกใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำไม่ได้
> >
> >
> ถ้าไม่มีแรงจูงใจเช่นนี้
> เอโกะคงไม่มีโอกาสได้คุยกับพ่อไปตลอดชีวิต
> >
> >
> ตอนที่เพิ่งแต่งงานใหม่ๆ
> ทุกครั้งที่เธอโทรศัพท์กลับบ้าน
> ถ้าพ่อเป็นคนรับสาย
> เธอจะรีบพูดว่า
> "นี่หนูเองนะ
> ขอคุยกับแม่หน่อย"
> >
> > แต่เดี๋ยวนี้
> พอเอโกะพูดว่า
> "นี่หนูเองนะ"
> เธอก็จะได้ยินเสียงพ่อร้องเรียกแม่ว่า
> "แม่ เอโกะโทร.มา"
> พ่อเองก็คงรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่เอโกะจะคุยด้วย
> >
> >
> แต่วันนี้เธอจะคุยกับพ่อ
> >
> >
> >
> > 'ถ้ามัวลังเล
> เดี๋ยวก็ไม่อยากโทร.ขึ้นมาหรอก'
> เมื่อเอโกะคิดเช่นนั้นจึงรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาทันที
> >
> > แม่เป็นคนรับสาย
> >
> > "นี่หนูเองนะคะ"
> >
> > "อ้าว เอโกะเหรอ
> สบายดีไหมลูก"
> >
> > "ก็ดีค่ะ...เอ่อ
> แม่คะ พ่ออยู่ไหมคะ"
> >
> > "เอ๊ะ พ่อเหรอ
> มีธุระอะไรกับพ่อล่ะ"
> >
> > "เอ่อ
> ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกค่ะ"
> >
> > "เอ แปลกจัง
> แล้วมีธุระอะไรล่ะจ๊ะ"
> >
> > "เอ่อ
> มันก็ออกจะแปลกๆอยู่สักหน่อยน่ะค่ะแม่
> เรื่องมันยาวขอหนูคุยกับพ่อเองได้ไหมคะ"
> "อย่างนั้นก็ได้จ้ะ
> รอเดี๋ยวนะ"
> >
> >
> ในช่วงวินาทีที่รอพ่อเดินมารับโทรศัพท์
> ความตื่นเต้นของเอโกะก็ถึงขีดสุด
> >
> >
> เธอเกลียดพ่อและไม่ยอมคุยเปิดอกกับพ่อมาตลอด
> >
> >
> แต่ตอนนี้เธอกำลังจะกล่าวขอบคุณและขอโทษพ่อ
> ซึ่งความจริงแล้วเธอไม่น่าจะทำได้
> >
> >
> เอโกะเป็นกังวลเรื่องของยูตะ
> และความกังวลนั้นก็ทวีความรุนแรงขึ้นจนทำให้เธอทำสิ่งที่ไม่น่าจะทำได้
> >
> >
> ถ้ามีความเป็นไปได้ที่จะช่วยให้เธอหลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์นี้ละก็
> เธอยอมทำทุกวิถีทาง
> >
> >
> ความคิดนี้เป็นแรงผลักดันให้เอโกะโทรศัพท์ไปหาพ่อของตัวเอง
> >
> > พ่อรับสาย
> >
> > "มะ...มีอะไร
> มีธุระอะไรเหรอ"
> >
> > เอโกะคิดอะไรไม่ออก
> เธอไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
> >
> > "อะ เอ่อ คือ
> หนูอยากบอกอะไรกับพ่อน่ะค่ะ
> คือหนูไม่เคยบอกเลย
> แต่คิดว่าน่าจะบอกสักหน่อย
> ก็เลยโทร.มาน่ะค่ะ...คือว่าพ่อทำงานก่อสร้างคงเหนื่อยมาก
> เพราะพ่อตรากตรำทำงานหนัก
> หนูถึงโตมาได้ เออ
> ตอนหนูเป็นเด็ก
> พ่อชอบพาหนูไปเล่นที่สวนสาธารณะบ่อยๆใช่มั้ยล่ะคะ
> หนูเลยคิดว่าน่าจะขอบคุณพ่อ
> >
> อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ
> หนูไม่เคยพูดออกมา
> ก็เลยว่าจะบอกพ่อสักครั้ง
> แล้วก็...หนูรู้สึกต่อต้านพ่อ
> เถียงพ่ออยู่ในใจมาตลอด
> เลยคิดว่าควรจะขอโทษพ่อด้วยค่ะ"
> >
> > เธอพูด "ขอบคุณ"
> หรือ "ขอโทษ"
> ออกไปชัดๆไม่ได้
> >
> >
> แต่ก็พูดสิ่งที่ควรพูดออกไปแล้ว
> >
> >
> เธอคิดจะวางสายทันทีที่ได้ยินเสียงพ่อตอบรับกลับมา
> >
> >
> แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ
> >
> > 'ถ้าไม่ตอบ
> แล้วจะวางสายได้ยังไงกันล่ะ'
> ทันทีที่เธอคิดเช่นนั้น
> เธอก็ได้ยินเสียงของแม่ดังมาตามสาย
> >
> > "เอโกะ!
> ลูกพูดอะไรกับพ่อน่ะ"
> >
> > "คะ?"
> >
> >
> "หนูว่าอะไรพ่อเขา!
> พ่อเขาลงไปนั่งร้องไห้อยู่กับพื้นแล้วรุ้ไหม!"
> >
> >
> เธอได้ยินเสียงร้องไห้ของพ่อทางโทรศัพท์
> >
> >
> เธอทำอะไรไม่ถูกเพราะความตกใจ
> >
> > ตั้งแต่เกิดมา
> เธอไม่เคยได้ยินพ่อร้องไห้เลยสักครั้ง
> >
> >
> พ่อเป็นคนเข้มแข็งมาก
> แต่ตอนนี้เธอได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของพ่อดังมาจากปลายสายอีกฝั่งหนึ่ง
> >
> >
> การที่เธอพูดขอบคุณซึ่งเป็นเพียงการกระทำภายนอก
> ทำให้พ่อผู้แข็งแกร่งถึงกับร้องไห้ออกมา
> >
> >
> เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของพ่อ
> เอโกะก็น้ำตาคลอ
> >
> >
> พ่อคงอยากให้ความรักกับฉันมากกว่านี้
> และคงอยากคุยกับฉันเหมือนอย่างพ่อลูกคู่อื่นๆ
> >
> >
> แต่ฉันก็ปฏิเสธความรักของพ่อมาตลอด
> >
> > พ่อคงเหงาสินะ
> >
> >
> พ่อที่เข้มแข็งอดทนไม่ว่าจะทำงานเหนื่อยยากแค่ไหน
> ตอนนี้กลับกำลังนั่งร้องไห้
> >
> >
> การที่ลูกไม่รับความรักของตัวเองเป็นเรื่องทุกข์ทรมานอย่างนี้นี่เอง
> >
> > เอโกะสะอื้นไห้
> >
> > ผ่านไปครู่ใหญ่
> เธอจึงได้ยินเสียงของแม่
> >
> > "เอโกะ!
> ใจเย็นลงหรือยัง
> ไหนเล่าให้แม่ฟังหน่อย"
> >
> > "แม่คะ
> ขอหนูคุยกับพ่อหน่อยค่ะ"
> >
> >
> แล้วเธอก็ได้ยินเสียงสั่นๆของพ่อ
> >
> > "เอโกะ พ่อขอโทษ
> พ่อไม่ดีเอง
> ทำให้ลูกต้องเจอแต่เรื่องแย่ๆ..."
> >
> >
> เธอได้ยินเสียงร่ำไห้ของพ่ออีกครั้ง
> >
> > "พ่อคะ หนูขอโทษ
> หนูเองก็เป็นลูกสาวที่แย่มาก
> แล้วก็ขอบคุณที่เลี้ยงหนูมานะคะ..."
> >
> >
> เสียงของเอโกะเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น
> >
> > หลายวินาทีผ่านไป
> เสียงของแม่ดังขึ้นมาอีกครั้ง
> >
> >
> "เกิดอะไรขึ้นเหรอลูก
> สงบอารมณ์ได้เมื่อไหร่ค่อยอธิบายให้แม่ฟังก็ได้จ้ะ
> ตอนนี้แค่นี้ก่อนแล้วกันนะ"
> >
> >
> แม้จะวางโทรศัพท์ไปแล้ว
> แต่เอโกะก็ยังทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่
> >
> > เธอเกลียดพ่อมาตลอด
> 20 ปี
> และไม่เคยให้อภัยพ่อเลย
> เธอคิดมาตลอดว่าผู้ได้รับผลกระทบคือเธอคนเดียวเท่านั้น
> >
> >
> เธอมองเพียงด้านเดียวไม่เคยคิดที่จะมองในมุมกลับกันเลย
> ความรักของพ่อ
> ความอ่อนแอของพ่อ
> ความไม่รู้ของพ่อ...เธอไม่เคยมองเห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อน
> พ่อทุกข์ใจมากแค่ไหนกันนะ
> เธอทำให้พ่อต้องทุกข์ทรมานมานานแค่ไหนแล้ว
> >
> >
> ความคิดต่างๆนานาแล่นเข้ามาในสมอง
> >
> >
> แล้วเธอก็เริ่มรู้สึกอยากขอบคุณพ่อจากใจจริง
> >
> >
> "เริ่มจากการกระทำภายนอกก่อนก็ได้
> เดี๋ยวความรู้สึกก็ตามมาเอง"
> ในที่สุดเธอก็เข้าใจคำพูดของคุณยางุจิ
> >
> >
> "อีกหนึ่งชั่วโมงยูตะก็จะกลับมาแล้วสินะ"
> >
> >
> ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังึ้น
> >
> >
> คนที่โทรศัพท์มาคือคุณยางุจิ
> >
> > "สวัสดีครับ
> ยางุจิครับ
> ตอนนี้ผมมีเวลาสักห้าสิบนาทีเลยโทร.มา
> เมื่อครู่ผมมีธุระเลยต้องวางสายไปทั้งๆที่ยังคุยค้างอยู่น่ะครับ"
> >
> >
> "ดิฉันโทร.ไปหาพ่อแล้วละค่ะ
> ดีจริงๆที่โทร.ไป
> ขอบคุณมากเลยนะคะ
> เพราะคุณยางุจิแท้ๆ"
> >
> >
> เอโกะเล่าเรื่องที่เธอคุยกับพ่อให้ฟังคร่าวๆ
> >
> >
> "อย่างนั้นเหรอครับ
> คุณตัดสินใจถูกต้องแล้วละครับที่แสดงความกล้าออกไป"
> >
> >
> "ดิฉันเคยคิดว่าปัญหาใหญ่ที่สุดคือการที่ยูตะถูกเพื่อนแกล้ง
> แต่จริงๆแล้วคือการที่ดิฉันไม่ให้อภัยพ่อมานานหลายปีต่างหาก
> ยูตะช่วยให้ดิฉันได้ปรับความเข้าใจกับพ่อ
> ปัญหาของยูตะก็มีส่วนดีเหมือนกันนะคะ"
> >
> >
> "คุณเริ่มจะมองเห็นด้านดีจากปัญหาความทุกข์ใจของยูตะแล้วสินะครับ
> >
> > มีกฎที่เรียกว่า
> 'กฎของสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น'
> ครับ
> เมื่อเราเริ่มเข้าใจถึงสิ่งหนึ่ง
> เราก็จะเข้าใจอีกสิ่งหนึ่งตามมา
> ที่จริงแล้ว
> ทุกปัญหาในชีวิตเกิดขึ้นเพื่อทำให้เราได้รู้ซึ้งถึงความสำคัญของบางสิ่ง
> หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ
> ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ
> แต่เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นต่างหาก
> > นั่นหมายความว่า
> ปัญหาที่เราแก้ไขด้วยตนเองไม่ได้จะไม่มีวันเกิดขึ้น
> เราแก้ไขได้ทุกปัญหาและถ้าพยายามอย่างเอาใจใส่
> มองโลกในแง่ดี
> เราก็จะนึกขอบคุณในภายหลังว่า
> 'ดีแล้วที่เกิดปัญหานั้นขึ้น
> เพราะนั่นทำให้ฉัน...'"
> >
> > "จริงด้วยค่ะ
> แต่ปัญหาของยูตะยังไม่หมดไป
> ดิฉันเลยยังกังวลอยู่ค่ะ"
> >
> >
> "คุณคิดว่ายังไม่ได้แก้ปัญหาเลยสินะครับ
> แต่ไม่แน่นะมันอาจจะกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ดีก็ได้
> เพราะความรู้สึกของทุกคนเชื่อมโยงถึงกันอยู่
> ถ้าแก้ไขที่ต้นเหตุได้แล้ว
> ผลลัพธ์ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป
> ถูกไหมครับ"
> >
> >
> "ปัญหาจะหมดไปจริงๆเหรอคะ"
> >
> >
> "ขึ้นอยู่กับคุณมากกว่า
> เอาละครับ
> ลองมาสรุปกันง่ายๆก่อน
> ความทุกข์ของคุณในตอนนี้ก็คือยูตะไม่ยอมเปิดใจให้
> คุณเลยรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหน
> เป็นแม่ที่ช่วยลูกไม่ได้
> และคุณก็ไม่อยากทุกข์ทรมานไปกว่านี้
> ใช่ไหมครับ"
> >
> > "ค่ะ ใช่ค่ะ
> ลูกไม่เคยปรึกษาอะไรกับดิฉันเลย
> ทั้งที่ดิฉันอยากยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
> แต่แกก็ปฏิเสธว่า
> 'อย่ามายุ่ง!'
> ยิ่งรู้ว่าลูกโดดเดี่ยว
> ดิฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหน
> ไม่มีอะไรน่าทุกข์ใจไปกว่าการช่วยเหลือลูกตัวเองไม่ได้หรอกค่ะ"
> >
> > "ครับ
> จริงด้วยครับ
> ทีนี้คุณคงเข้าใจแล้วสินะครับว่านั่นคือความทุกข์ใจของใคร"
> >
> > "เอ๊ะ
> ของใครเหรอคะ..."
> >
> >
> ตอนนั้นเองที่ใบหน้าของพ่อลอยขึ้นมา
> ใช่แล้ว!
> ความทุกข์ทรมานนี้เป็นสิ่งที่พ่อต้องทนมานานหลายปี
> >
> >
> ความทุกข์ที่ลูกสาวไม่ยอมเปิดใจให้
> ความทุกข์ที่ถูกลูกสาวเกลียดมาโดยตลอด
> ความทุกข์ที่ไม่สามารถช่วยเหลือลูกได้ในฐานะที่เป็นพ่อแม่...
> >
> >
> นั่นเป็นความทุกข์เดียวที่ฉันมีอยู่ในตอนนี้
> พ่อทนทุกข์ทรมานกับมันมานานกว่า
> 20 ปีเชียวหรือ
> >
> >
> น้ำตาไหลรินลงบนแก้มของเอโกะ
> >
> > "เข้าใจแล้วค่ะ
> ดิฉันได้รับรู้ถึงความทุกข์ที่พ่อเผชิญมาสินะคะ
> พ่อต้องทรมานมากถึงขนาดนี้นี่เอง
> ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ
> ว่าทำไมพ่อถึงร้องไห้คร่ำครวญอย่างนั้น"
> >
> >
> "ปัญหาในชีวิตเกิดขึ้นเพื่อให้เราได้รู้ซึ้งถึงสิ่งสำคัญครับ"
> >
> >
> "ดิฉันเข้าใจความทุกข์ใจของพ่อแล้วค่ะ
> เพราะยูตะแท้ๆ
> ดิฉันถึงได้คิด
> เป็นเพราะยูตะไม่ยอมเปิดใจให้ดิฉันนี่เอง..."
> >
> > "ทั้งลูกชาย
> คุณพ่อ
> และตัวคุณเองต่างมีความรู้สึกเชื่อมโยงกันอยู่ลึกๆ
> ยูตะเป็นเหมือนที่คุณเคยเป็น
> แล้วก็รู้สึกเหมือนที่คุณเคยรู้สึกครับ
> เหตุการณ์นี้เลยทำให้คุณได้คิด"
> >
> >
> "ดิฉันอยากขอบคุณยูตะค่ะ
> อยากบอกเขาว่า
> 'ขอบคุณที่ทำให้แม่รู้ซึ้งถึงสิ่งสำคัญ'
> ที่ผ่านมาดิฉันบ่นลูกอยู่ในใจเสมอว่า
> ไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเลย"
> >
> >
> "ตอนนี้คุณเข้าใจยูตะแล้วใช่ไหมครับ"
> >
> > "ใช่ค่ะ!
> ตอนเป็นเด็ก
> ดิฉันไม่ชอบพ่อที่จู้จี้ขี้บ่น
> ไม่ชอบให้พ่อมายุ่งวุ่นวาย
> คิดดูแล้ว
> นั่นคงเป็นการแสดงความรักของพ่อ
> แต่ตอนนั้นดิฉันกลับรู้สึกว่าน่ารำคาญ
> ตอนนี้ยูตะคงรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน
> ความรักที่ดิฉันพยายามหยิบยื่นให้กลับกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับยูตะไป"
> >
> >
> "จริงๆแล้วตอนเด็กๆคุณอยากให้พ่อเป็นยังไงครับ"
> >
> >
> "อยากให้พ่อไว้ใจดิฉันบ้างค่ะ
> อยากให้พ่อคิดว่า
> 'ถ้าเป็นเอโกะละก็ต้องทำได้แน่ๆ!'…ดิฉันเองก็คงไม่ไว้ใจยูตะละมังคะ
> คิดว่าถ้าไม่มีดิฉัน
> ลูกคงทำอะไรไม่ได้
> ก็เลยถามโน่นถามนี่กับแก...ดิฉันอยากไว้ใจลูกให้มากกว่านี้ค่ะ"
> >
> >
> >
> >
> "คุณเข้าใจความทุกข์ของพ่อและความทุกข์ของยูตะแล้วใช่ไหมครับ
> ถ้าอย่างนั้นเรากลับไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับสามีนะครับ
> คุณจำเรื่องที่คุยกันเมื่อเช้าได้ไหมครับ
> ที่ผมบอกว่า
> 'สาเหตุที่ทำให้ยูตะลูกชายคนสำคัญของคุณถูกเพื่อนแกล้งก็คือการที่คุณเกลียดคนใกล้ตัว'"
> >
> > "ค่ะ จำได้ค่ะ
> แล้วดิฉันก็บอกว่า
> ดิฉันไม่ได้เกลียดสามีแต่ก็ไม่ได้เคารพ"
> >
> >
> "ถ้าอย่างนั้นมีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณของสามีบ้างครับ
> ลองบอกผมได้ไหม"
> >
> >
> "ดิฉันมักคิดว่าสามีเป็นคนไม่มีการศึกษาหรือไม่ก็ไม่มีความคิด
> แม้แต่กับเรื่องของยูตะ
> ทั้งๆที่ดิฉันเป็นทุกข์มาก
> แต่เขากลับมองเรื่องนี้ในแง่ดีไปเสีย
> ถึงดิฉันจะบ่นให้เขาฟัง
> แต่ก็ไม่เคยปรึกษาเขาจริงๆจังๆ
> ไม่เคยคิดจะฟังความเห็นของเขาเลยค่ะ"
> >
> >
> ถึงตรงนี้เอโกะเริ่มคิดได้ว่า
> เธอมองสามีด้วยมุมมองที่คล้ายกับที่มองพ่อ
> >
> >
> "เหมือนกับที่ดิฉันมองพ่อของตัวเองเลยนะคะ"
> >
> > "ใช่แล้วครับ
> ส่วนใหญ่แล้ว
> ผู้หญิงมองพ่อของตัวเองอย่างไรก็จะมองสามีอย่างนั้น
> แต่เท่าที่ผมฟังมา
> ดูเหมือนสามีของคุณจะไว้ใจยูตะมากเลยนะครับ"
> >
> > "อ๊ะ จริงด้วยค่ะ!
> ดิฉันน่าจะเอาอย่างสามีนะคะ
> ดูยูตะจะเล่าเรื่องต่างๆให้พ่อเขาฟังเสมอ
> เป็นเพราะพ่อไว้ใจ
> ยูตะก็เลยเปิดใจกับพ่อ
> ดิฉันไม่เคยมองเห็นข้อดีนี้ของสามีเลยค่ะ"
> >
> > "เหรอครับ
> คุณคิดอย่างนั้นใช่ไหมครับ
> ทีนี้ผมจะให้การบ้านนะครับ
> จะทำหรือไม่คุณต้องลองตัดสินใจดู
> เมื่อตอนบ่ายผมให้คุณเขียน
> 'สิ่งที่ควรขอบคุณพ่อ'
> และ
> 'สิ่งที่อยากขอโทษพ่อ'
> ตอนนี้ผมอยากให้คุณเขียนเพิ่มลงไปให้มากที่สุดจะกี่แผ่นก็ได้ครับ
> >
> >
> "พอเสร็จก็นำกระดาษมาอีกแผ่นแล้วเขียนหัวข้อว่า
> 'ควรปฏิบัติตัวอย่างไรกับพ่อ'
> ไม่ใช่เขียนเพื่อสำนึกผิดที่ทำไม่ดีกับพ่อน่ะครับ
> แต่เพื่อให้คุณค้นพบแนวทางในการปฏิบัติตัวกับสามี
> >
> > "อีกอย่าง
> ตอนกลางคืน
> พอยูตะหลับสนิทแล้ว
> ขอให้คุณมองหน้าเขา
> และ กระซิบในใจว่า
> 'ขอบใจจ้ะ'
> ร้อยครั้ง
> ฟังแล้วอยากลองทำดูไหมครับ"
> >
> > "ค่ะ
> ดิฉันจะลองดู"
> >
> >
> >
> >
> หลังจากวางโทรศัพท์ได้ไม่นาน
> ยูตะก็กลับถึงบ้าน
> >
> >
> ยูตะกองกระเป๋าไว้ที่หน้าประตู
> หยิบถุงมือและลูกเบสบอลออกไปเล่นที่สวนสาธารณะเช่นเคย
> >
> >
> "เมื่อวานเพิ่งถูกเพื่อนไล่กลับมาแท้ๆ
> ยังจะไปสวนสาธารณะอีกหรอ"
> จิตใจของเอโกะเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
> >
> >
> เพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นกังวลมากไปกว่านี้
> เอโกะจึงมุ่งทำการบ้าน
> >
> >
> มีหลายสิ่งที่เธอคิดได้ว่าควรจะขอบคุณพ่อ
> >
> >
> >
> >
> "สิ่งที่ควรขอบคุณพ่อ"
> >
> > v
> พ่อเป็นคนงานคุมการก่อสร้าง
> ทำงานเหน็ดเหนื่อยเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
> >
> > v เมื่อตอนเป็นเด็ก
> ฉันมักเป็นไข้ตอนกลางคืน
> ทุกครั้งพ่อจะขับรถพาไปโรงพยาบาล
> (พ่อต้องทำงานใช้แรงงานในตอนกลางวัน
> เพราะฉะนั้น
> พ่อคงลำบากน่าดูที่ต้องนอนดึก)
> >
> > v เมื่อตอนเป็นเด็ก
> พ่อชอบพาไปทะเลและแม่น้ำ
> พ่อสอนให้ฉันว่ายน้ำเป็น
> >
> > v เมื่อตอนเป็นเด็ก
> ฉันชอบเมลอนมาก
> ทุกๆปีพอถึงวันเกิด
> พ่อจะซื้อเมลอนมาให้เป็นประจำ
> >
> > v เมื่อตอนเป็นเด็ก
> ฉันเคยถูกเด็กข้างบ้านแกล้ง
> พ่อจึงไปที่บ้านของเด็กคนนั้นเพื่อพูดคุยกับพ่อแม่ของเขา
> >
> > v
> ฉันเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเอกชน
> พ่อออกค่าเล่าเรียนให้โดยไม่บ่นสักคำ
> (สำหรับครอบครัวเราในตอนนั้นถือเป็นภาระอันหนักหน่วง)
> >
> > v ตอนที่ฉันได้งานทำ
> พ่อสั่งซูชิมากินที่บ้าน
> (เป็นซูชิที่หรูหราราคาแพงมาก
> แต่ฉันกลับพูดไปว่า
> "ไม่ชอบกินซูชิ"
> พ่อจึงหงอยไป)
> >
> > v
> พ่อเปิดบัญชีให้ลูกๆทุกคนพร้อมทั้งบอกว่า
> "เผื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน"
> และนำเงินฝากเข้าบัญชีให้แม้จะไม่มากก็ตาม
> (พ่อพยายามจะยื่นสมุดบัญชีนั้นให้ฉันในวันก่อนวันแต่งงาน
> แต่ฉันบอกว่า
> "ไม่อยากเดินถือไปถือมา
> โอนเข้าบัญชีให้ดีกว่า"
> และไม่ยอมรับไว้ในตอนนั้น)
> >
> >
> >
> >
> "สิ่งที่อยากขอโทษ"
> ผุดขึ้นมาในสมองของเธออย่างต่อเนื่อง
> หลังจากเขียน
> "สิ่งที่อยาก
> >
> > ขอบคุณ"
> >
> > เธอเขียน
> "สิ่งที่ควรขอบคุณ"
> และ
> "สิ่งที่อยากขอโทษ"
> พลางร้องไห้
> >
> >
> "พ่อรักฉันมากขนาดนี้เชียวเหรอ
> ถึงฉันจะดื้อแค่ไหน
> พ่อก็ยังรักฉันอยู่
> เพราะมัวแต่ถือทิฐิไม่ยอมให้อภัย
> ฉันเลยไม่เคยรับรู้ถึงความรักนี้
> และถึงแม้จะได้รับความรักจากพ่อมากแค่ไหน
> แต่ฉันก็ไม่เคยทำอะไรให้พ่อเลย
> จะตอบแทนคุณสักครั้งก็ไม่เคย"
> >
> > แล้วเธอก็คิดได้ว่า
> เธอไม่เคยให้เกียรติอาชีพของพ่อเลย
> >
> >
> เธอมองว่าคนงานคุมการก่อสร้างเป็นงานที่
> "ไร้สมบัติผู้ดี"
> หรือไม่ก็
> "ไม่ต้องใช้ความรู้"
> ทั้งๆที่ตัวเองได้เรียนจบมหาวิทยาลัยก็เพราะพ่อทำงานหาเงินอย่างหนัก
> เธอเพิ่งได้คิดเป็นครั้งแรกและเริ่มรู้สึกเคารพและขอบคุณอาชีพของพ่อ
> >
> >
> ตอนนี้เธอก็กำลังมองอาชีพของสามีว่า
> "ไม่ต้องใช้ความรู้"
> ความรู้สึกรังเกียจสามีว่า
> "ไม่มีการศึกษา"
> ก็เหมือนความรู้สึกที่เธอมีต่อพ่อ
> เพราะฉะนั้นเธอมีหลายเรื่องที่ต้องขอบคุณสามีอย่างแน่นอน
> >
> >
> >
> >
> เธอคิดเช่นนั้นพลางหยิบกระดาษขึ้นมาอีกแผ่นและเขียนหัวข้อว่า
> "ควรปฏิบัติตัวกับพ่ออย่างไร"
> >
> >
> ในหัวข้อนี้เธอเขียนได้โดยแทบไม่ต้องคิด
> >
> >
> >
> >
> "ควรปฏิบัติตัวกับพ่ออย่างไร"
> >
> > v
> ควรสำนึกในความรักของพ่อที่แฝงอยู่ในการกระทำและคำพูด
> ควรเข้าใจว่าไม่มีใครเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ
> ไม่ว่าตัวเราเองหรือพ่อ
> >
> > v ต้องขอบคุณต่อ
> "สิ่งที่พ่อทำเพื่อเรา"
> >
> > v
> ไม่ควรเป็นเพียงผู้รับความรัก
> แต่ควรเป็นผู้ให้ด้วย
> (ควรทำให้พ่อมีความสุข)
> >
> > v
> ถ้าไม่ชอบอะไรก็บอกไปตามตรงด้วยพื้นฐานแห่งความรัก
> เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีต่อกัน
> >
> >
> >
> >
> และนี่คือความคิดที่ควรจะมีต่อสามี
> >
> >
> สามีทำงานเพื่อนครอบครัว
> >
> >
> สามีเป็นคู่ชีวิตมาโดยตลอด
> >
> >
> ฉันลืมที่จะขอบคุณเขา
> >
> >
> นี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่ฉันเปิดใจมองเขา
> >
> >
> เหมือนกับที่ฉันได้ขอบคุณพ่อ
> >
> >
> วันนี้ฉันจะพูดขอบคุณเขา
> >
> >
> >
> >
> ระหว่างที่เธอกำลังคิดอะไรเพลินๆ
> ข้างนอกก็เริ่มมืดสลัวลง
> วันนี้ตั้งแต่เช้าเอโกะแทบไม่ได้ทำงานบ้านเลย
> >
> >
> เธอโทรศัพท์ไปคุยกับคุณยางุจิตอนประมาณเก้าโมงเช้า
> แล้ววันนี้ทั้งวันเธอก็วุ่นอยู่กับการสังเกตตัวเอง
> >
> > "แย่แล้ว
> ข้าวเย็นล่ะ"
> >
> >
> ตอนนั้นเองที่ยูตะกลับมา
> >
> > "แม่ฮะ
> ผมมีอะไรจะเล่าให้ฟัง!"
> >
> > "เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ
> มีเรื่องอะไรดีๆเหรอ"
> >
> >
> "แม่รู้จักไทคิใช่ไหมฮะ
> คือเมื่อวานนี้ที่สวนสาธารณะ
> ไทคิเขาเอาลูกบอลขว้างใส่ผมล่ะ"
> >
> > "เอ๊ะ อ้าว เหรอจ๊ะ
> ไทคิคนที่ชอบแกล้งลูกน่ะเหรอ"
> >
> >
> "เมื่อกี้ตอนผมกำลังจะกลับบ้าน
> ไทคิมาที่สวนสาธารณะ
> แล้วพูดกับผมว่า
> 'ขอโทษที่แกล้งนายนะ'"
> >
> > "เหรอจ๊ะ!"
> เอโกะพูด
> เธอรู้สึกเหมือนได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์
> 'เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ต้องเป็นผลจากการที่ฉันปรับความเข้าใจกับพ่อแน่ๆ'
> เธอรู้สึกเช่นนั้น
> >
> >
> เอโกะอยากคุยกับยูตะจึงตัดสินใจสั่งอาหารมากิน
> ระหว่างที่รอ
> เธอบอกกับยูตะว่า
> >
> >
> "แม่ขอโทษที่จู้จี้วุ่นวายกับลูกมาตลอดนะจ๊ะ
> จากนี้ไปแม่จะระวัง
> จะไม่ขี้บ่นแล้วละ
> ถ้ามีอะไรอยากให้แม่ช่วยก็บอกได้เลยนะ
> ไม่ต้องเกรงใจ
> แม่ไว้ใจลูกนะจ๊ะ"
> >
> >
> ยูตะหน้าบานด้วยความดีใจและตอบว่า
> "ฮะแม่ ขอบคุณฮะ"
> >
> >
> ความจริงแล้วยูตะก็อยากให้แม่ไว้ใจตัวเองอยู่เหมือนกัน
> >
> >
> "วันนี้แปลกจังแฮะ!
> ทำไมมีแต่เรื่องดีๆนะ"
> ยูตะพูดต่อ
> เอโกะรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที
> ต่อมาไม่นาน
> อาหารก็มาส่งที่บ้าน
> >
> >
> "แม่จะรอพ่อกลับมาก่อน
> ลูกกินไปเลยนะ"
> >
> > "อ้าว
> เกิดอะไรขึ้นฮะแม่
> ปกติแม่กินก่อนนี่นา"
> >
> >
> "วันนี้แม่อยากกินกับพ่อน่ะจ้ะ
> พ่อทำงานกลับมาคงเหนื่อย
> ให้กินข้าวเย็นชืดอยู่คนเดียว
> น่าสงสารออก"
> >
> >
> "ถ้าอย่างงั้นผมจะกินกับพ่อด้วย!
> กินด้วยกันสามคนน่าสนุกกว่านะฮะ"
> >
> > "ลูกมีน้ำใจจริงๆ
> เหมือนพ่อเปี๊ยบเลย"
> >
> > "แปลกอีกแล้ว
> ปกติแม่บอกว่าพ่อไม่มีสมบัติผู้ดีนี่นา"
> >
> > "นั่นสินะ
> แม่คิดผิดไปเองแหละ
> พ่อเป็นคนใจดี
> เข้มแข็ง...เป็นลูกผู้ชายตัวจริงเลยจ้ะ"
> >
> >
> "ถ้าไม่ตั้งใจเรียนก็จะหางานที่ดีกว่างานของพ่อไม่ได้ไม่ใช่เหรอครับ"
> >
> > "ขอโทษทีจ้ะ
> แม่คิดเรื่องนี้ผิดไปเหมือนกัน
> งานของพ่อเป็นงานที่ดีมาก
> เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ
> ถ้าพ่อไม่ตั้งใจทำงาน
> เราคงไม่มีข้าวกินอย่างนี้หรอกจ้ะ
> ต้องขอบคุณพ่อด้วยนะ"
> >
> >
> "แม่คิดอย่างนั้นจริงๆเหรอครับ"
> >
> > "จ้ะ จริงสิจ๊ะ"
> >
> >
> พอเอโกะพูดอย่างนั้น
> ยูตะก็ยิ้มดีใจอย่างที่สุด
> >
> >
> ลูกจะเดินตามรอยเท้าพ่อแม่โดยสัญชาตญาณ
> >
> >
> คำพูดของเอโกะเสมือนเป็นสัญญาณไฟเขียวให้ยูตะเคารพพ่อ
> ซึ่งทำให้ยูตะดีใจกว่าคำพูดอื่นใด
> >
> > ผ่านไปครู่ใหญ่
> สามีของเธอกลับมาบ้าน
> แล้วทั้งสามก็กินข้าวหน้าไก่ด้วยกัน
> >
> >
> อาจเป็นดีใจที่มีคนรอกินข้าว
> สามีของเธอจึงอารมร์ดี
> เขากินข้าวหน้าไก่เย็นชืดพลางพูดว่า
> "อร่อย อร่อย"
> ตลอดเวลา
> >
> >
> >
> >
> ระหว่างที่สามีของเธอกำลังอาบน้ำ
> ยูตะก็เข้านอน
> >
> > พอยูตะหลับสนิท
> เอโกะก็มองหน้าเขาและเริ่มกระซิบในใจว่า
> "ขอบใจจ้ะ"
> >
> >
> คำคำนั้นทำให้เธอรู้สึกขอบคุณลูกจากใจจริง
> >
> >
> "ฉันโทษลูกมาตลอดว่าทำให้ฉันต้องทุกข์ใจ
> แต่เพราะลูกฉันจึงได้รู้ซึ้งถึงสิ่งสำคัญ
> ความจริงแล้ว
> ลูกคือคนนำฉันไปในทางที่ดีต่างหาก"
> >
> > พอคิดเช่นนั้น
> เธอก็มองเห็นลูกเป็นเทวดาตัวน้อย
> >
> >
> แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
> วันนี้ช่างเป็นวันแห่งการร้องไห้จริงๆ
> >
> >
> เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
> มีโทรสารส่งมา
> >
> >
> ข้อความนั้นเป็นลายมือของแม่
> >
> >
> >
> > ถึงเอโกะ
> >
> >
> พ่อเล่าเรื่องวันนี้ให้แม่ฟังแล้ว
> >
> > พ่อเล่าไปร้องไห้ไป
> >
> >
> แม่เองก็ดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน
> >
> > พ่อบอกว่า
> "ตั้งแต่มีชีวิตอยู่มาเจ็ดสิบปี
> วันนี้เป็นวันที่ดีใจที่สุด"
> >
> >
> ปกติพ่อจะดื่มเหล้าไปด้วยตอนกินข้าวเย็น
> แต่วันนี้พ่อบอกว่า
> "เมาแล้วเดี๋ยวก็ไม่ได้ดีใจกันพอดี
> เสียดายน่ะ"
> พ่อก็เลยไม่ดื่ม
> >
> >
> จะกลับมาบ้านอีกเมื่อไหร่ล่ะ
> >
> > จะรอนะจ๊ะ
> >
> > แม่
> >
> >
> >
> >
> >
> >
> "พ่อที่ไม่เคยขาดเหล้าได้เลยแม้แต่วันเดียว
> ถึงขนาดไม่ดื่มเลยหรือ..."
> >
> >
> คำพูดที่ฉันบอกกับพ่อทำให้พ่อมีความสุขได้ถึงขนาดนั้นเชียว
> ที่ผ่านมาแม้จะป่วยแค่ไหนพ่อก็ไม่เคยหยุดดื่มเหล้า
> คงเพราะพ่ออยากลืมความเหงากระมัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น